วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มาดู!! ความเชื่อเรื่อง "อาถรรพ์" ในยุคไทยแลนด์ 4.0







 ✎ บทความโดย เขี้ยวแดง



               ยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน  ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมที่มาจากวิทยาศาสตร์มากมายเต็มไปหมดเลยนะคะ  ประเทศไทยเองก็กำลังจะพัฒนาไปเป็น ไทยแลนด์ 4.0 ในอีกไม่นานแล้วด้วย

               แต่เชื่อมั้ยว่า เรื่องของความเชื่อ บาปบุญคุณโทษหรือเครื่องรางของขลังก็ยังคงอยู่คู่สังคมไทย แถมยังมีการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยอีกด้วย เพื่อให้แนบเนียนและอยู่ยงคงกระพันควบคู่ไปกับโลกของเทคโนโลยี

               บางคนอาจจะไม่เชื่อหูใช่มั้ยล่ะ ความเชื่ออาถรรพ์กับเทคโนโลยีจะไปด้วยกันได้ยังไงเล่า!?  วันนี้เขี้ยวแดงได้รวบรวมมาให้เพื่อน ๆ แล้วค่ะ  นวัตกรรมที่ผสานความเชื่อกับเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสร้างสรรค์และทันโลก!



               แต่ก่อนจะไปทำความรู้จักกับเครื่องรางของขลังที่ปรับตัวจนตามทันไทยแลนด์ 4.0  เขี้ยวแดงก็ขออธิบายเพิ่มเติมอีกสักนิด เผื่อเพื่อน ๆ บางคนยังปวดหัวอยู่ว่า ไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร? และจู่ ๆ โผล่มาได้ไง 1.0 – 3.0 ล่ะ หายไปไหน???

               ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ  เขี้ยวแดงจะไขข้อข้องใจให้เพื่อน ๆ เอง!




               ปัจจุบันนี้ สินค้าที่ไทยเราค้าขายกันอยู่ แบ่งออกได้เป็นหลายประเภทเลยค่ะ และสินค้าแต่ละชนิดนั้นก็ขายดีเป็นยุค ๆ ทำให้รัฐบาลนำเงินไปสนับสนุนสินค้าแตกต่างกันไปในแต่ละสมัย ที่ผ่านมาไทยแลนด์ 1.0 คือการสนับสนุนสินค้าเกษตรกรรมทั้งพืชและสัตว์ พอยุค 2.0 ก็ขยับมาหนุนอุตสาหกรรมเบา อย่างเสื้อผ้า, กระเป๋า หรืออาหารกระป๋อง เมื่อขยับเข้าสู่ยุค 3.0 ปุ๊บ ก็ดันอุตสาหกรรมหนักที่เน้นใช้เครื่องจักรกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการผลิต และยังมีการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้นด้วยนะ






                 ส่วนตอนนี้เรากำลังจะเป็นไทยแลนด์ 4.0 กันแล้ว ซึ่งก็คือ ยุคของนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ ๆ นั่นเอง ไม่ว่าจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ผสานกับความรู้ในด้านต่าง ๆ สร้างอะไรขึ้นมา ถ้าเข้าท่าก็ถือว่าเป็นไทยแลนด์ 4.0 แล้วล่ะค่ะ

               เพื่อน ๆ เข้าใจไทยแลนด์ 4.0 กันมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?  เข้าใจแล้วล่ะสิ (เขี้ยวแดงได้ยินเสียงเพื่อนๆ ตอบจริงๆ นะ >///<)  งั้นไปทำความรู้จักเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาจากความสร้างสรรค์ของคนไทยจนก้าวทันโมเดลเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 กันเลย










1. ลิปสาลิกา เรียกเสน่ห์-เรียกทรัพย์


               เมื่อก่อนถ้าอยากจะเสริมเสน่ห์ให้มีแต่คนรักคนเมตตา พูดจาพาทีกับใครก็มีแต่จะคล้อยตามทั้งรักทั้งหลง และเชื่อถือในสิ่งที่เราพูดไปหมดทุกอย่าง ก็ต้องอมสาลิกาลิ้นทองเอาไว้ในปาก  ทั้งยังต้องบูชาสม่ำเสมอ  แต่วันนี้ด้วยนวัตกรรมใหม่จากอาจารย์หนู กันภัย  สาลิกาลิ้นทองถูกนำมารวมเข้ากับลิปมันซึ่งถือเป็นไอเท็มประจำกายของทั้งชายและหญิง  นอกจากจะรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปากแล้ว ก็มีฟังก์ชันพูดดีเป็นศรีแก่ปากเป็นเหมือนของแถมอีกด้วย

               นอกจากนี้ซื้อลิปสาลิกาแล้วยังแถมฟรีคาถาบูชา ไม่ต้องอมสาลิกาลิ้นทองให้เมื่อยปากอีกต่อไป สะดวกสบายจริง ๆ  และสำหรับสาว ๆ ยังมีแป้งพัฟเสริมเสน่ห์เอาไว้ใช้คู่กันอีกด้วยค่ะ! แหม สงสัยต้องมีไว้ครอบครองสักหน่อยแล้ว







2. ตู้เซียมซีอัตโนมัติ


               หลังจากเสี่ยงเซียมซีด้วยการเขย่ากระบอกมาหลายยุคหลายสมัย ถ้าเขย่าแล้วหล่นหลายไม้ก็พาลให้ต้องเขย่าใหม่อีกหลายครั้ง กลายเป็นว่ากว่าจะได้รู้ดวงชะตาก็เสียเวลาไปเกือบค่อนวัน

               แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปทันที ไม่ว่าจะรีบไปเรียนพิเศษ รีบไปเล่นกีฬา หรือไม่ว่าจะรีบไปอ่านการ์ตูนของพูนิก้า เพียงเพื่อน ๆ ใช้เจ้าตู้เซียมซีอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ตามวัดหรือแม้แต่กลางห้างสรรพสินค้า แค่อธิษฐานแล้วหยอดเหรียญ รอเครื่องคำนวณผลบุญผลกรรมสักครู่ ระหว่างนี้ก็มองตามดวงไฟที่วิ่งวนผ่านเลขต่าง ๆ ไปเพลิน ๆ ยังไม่ทันเบื่อ ไฟก็จะหยุดลงบนเลขดวง ให้เพื่อน ๆ นำเลขไปหาใบเซียมซีได้แล้วค่ะ

               เห็นไหมว่าประหยัดเวลาไปตั้งเยอะ  นอกจากนี้ยังได้ทำบุญกับวัด แถมบางรุ่นยังมีเสียงสวดให้พรจากพระก่อนเสี่ยงเซียมซีได้ด้วยนะ คุ้มและสะดวกสุด ๆ ไปเล้ยยย







3. ศาลเจ้าพกพา


               ถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายเลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อน ๆ สามารถพกศาลเจ้าจิ๋วนี้ไว้เพื่อความอุ่นใจเผื่อต้องขอพรกะทันหัน จะได้ยกออกมาขอพรกันได้อย่างทันท่วงทีทุกที่ทุกเวลาเลยค่ะ

               แต่น่าเสียดายที่ผลงานการสร้างสรรค์ของ "น้องฟาง" นักเรียนโรงเรียนนานาชาติเอกมัยชิ้นนี้ไม่ได้มีวางขาย เพราะเจ้าของผลงานทำเอาไว้เพื่อประกอบ Portfolio สำหรับศึกษาต่อทางด้านการออกแบบเท่านั้น แต่ผลงานศาลเจ้าพกพาซึ่งทำจากกระดาษชิ้นนี้ นับว่าดึงเอาจุดเด่นของศาลเจ้าออกมาได้อย่างสร้างสรรค์และสวยงามมากเลยนะคะ  ถ้าเกิดมีใครนำไอเดียนี้ไปต่อยอด และสร้างศาลเจ้าขนาดพกพาออกมาขายจริง ๆ อาจจะเกิดกระแสใหม่ขึ้นมาเลยก็ได้นะเนี่ย







4. จี้กุมารทอง


               แทนที่จะบูชากุมารทองตัวใหญ่ที่พกพาลำบาก จะย้ายบ้านแต่ละทีต้องขนย้ายกันวุ่นวาย หรือทุกครั้งที่จากบ้านก็เกิดอาการเป็นห่วงกุมารทองคู่ใจ

               นับได้ว่าจี้กุมารทองเหมาะมาก ๆ สำหรับเพื่อน ๆ ที่รักและอยากจะพกพากุมารทองติดตัวเอาไว้เพียงแค่เช่าจี้กุมารทอง สามารถเลือกรูปแบบที่ถูกใจได้ด้วยนะ! แล้วคล้องกับสร้อยติดตัวไว้ นอกจากจะเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเองแล้ว ยังมีน้องกุมารทองคอยตามไปปกปักษ์รักษาในทุกที่อีกด้วย แหม อุ่นใจแล้วยังสวยอีกนะคะเนี่ย

               ซึ่งจี้กุมารของแบรนด์ CHARMAZ ก็มีน้องกุมารหน้าตาน่ารักในอิริยาบถต่าง ๆ ออกแบบมาได้ดูทันสมัยน่าสวมใส่อีกด้วยค่ะ







               เป็นยังไงบ้างคะ กับความเชื่ออาถรรพ์ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่เขี้ยวแดงนำมาเสนอในวันนี้ เพื่อน ๆ คิดว่ามันน่าตื่นเต้นไหมคะ?  เขี้ยวแดงรู้สึกอึ้งในความคิดต่อยอดของคนไทยมาก ๆ เลยค่ะ

               ความเชื่อโบราณทั้งหลายอยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยมานาน แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป วิถีชีวิตเราจึงเปลี่ยนไปด้วย หลาย ๆ อย่างที่น่าจะสูญหายไปตามกาลเวลา กลับถูกคนรุ่นใหม่นำมาผสมผสานให้เกิดเป็นสินค้าคลาสสิก ที่มีความทันสมัยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความเชื่อเหล่านี้ดูจะขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี แต่คนไทยก็สามารถนำมาประยุกต์พลิกแพลงให้เข้ากันได้อย่างลงตัว ทั้งยังมีความสวยงามและทันสมัยน่าใช้งานอีกด้วย 






               แล้วเพื่อน ๆ พอจะมีไอเดียความสร้างสรรค์อะไรเจ๋ง ๆ สำหรับยุคไทยแลนด์ 4.0 บ้างไหมคะ  ลองแชร์มาคุยกันได้นะ  สำหรับวันนี้เขี้ยวแดงก็ขอลาไปก่อน แล้วครั้งหน้าจะกลับมาพร้อมรีวิวดี ๆ อีกเช่นเคยค่า~





✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎







   
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ช้อนของคนตาย! เครื่องรางแห่งโชคลาภ









               สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้ทีมงานพูนิก้ามีบันทึกเรื่องราวแปลกๆ และน่าสนใจจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ เป็นเรื่องที่ชวนสงสัยและแปลกสุดๆ ถึงกับต้องอุทานกันเลยว่า เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? ถ้าพร้อมกันแล้วเรามาเปิดบันทึกความเชื่อสุดแปลกกันเลยค่ะ

               เมื่อพูดถึงการสะสมแล้วเพื่อนๆ จะนึกถึงอะไรกันบ้างคะ? บางคนก็คงจะนึกถึง การสะสมแสตมป์ประเภทต่างๆ บางคนก็คงจะเป็นการสะสมเหรียญกษาปณ์หลากหลายรูปแบบ หรือบางคนก็อาจเป็นการสะสมแมลงนานาชนิด ทว่าสิ่งที่เรากำลังจะพาทุกคนไปรู้จักไม่ใช่การสะสมในแบบธรรมดาหรอกนะคะ แต่เป็น “การสะสมช้อนในงานศพของผู้ตายซึ่งมีอายุร้อยปีขึ้นไป” นั่นเอง






               การสะสมช้อนของคนตายนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อของคนโบราณในภาคใต้ของประเทศเรานี่เองค่ะ แรกเริ่มเดิมทีแล้วลูกหลานของผู้ตายอายุยืนมักเก็บข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ที่ตำหมาก หรือของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ เพื่อเป็นการระลึกถึงพวกเขา แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ทำกัน แต่เมื่อความเชื่อได้พัฒนาขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่มองว่าของใช้ของผู้ตายนั้นคือเครื่องรางของขลัง เป็นของมงคลที่ช่วยให้ค้าขายดี มีอายุยืนยาว แคล้วคลาดปลอดภัย ให้โชคให้ลาภ และไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

               แล้วเมื่อความเชื่อสั่งสมเพิ่มมากขึ้นและมีการแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จึงทำให้คนส่วนใหญ่ยึดถือเอาว่าหากไปงานศพของผู้ตายซึ่งมีอายุเกินร้อยปีต้องหยิบของจากในงานติดไม้ติดมือกลับมาด้วย โดยสิ่งของที่ถูกหยิบกลับไปมากที่สุดก็คือ “ช้อน” นั่นเอง และวิธีการที่จะทำให้ช้อนมีความขลังขึ้นคือต้องขโมยจากงานศพเท่านั้น!



               สาเหตุที่คนส่วนใหญ่มักหยิบช้อนในงานศพของผู้ตายที่มีอายุมากกว่าร้อยปีมาเป็นที่ระลึก เป็นเพราะความเชื่อที่ว่าการนำช้อนกลับไปเก็บไว้ที่บ้านหรือร้านค้าจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคล ทำให้มีกินมีใช้และทำมาค้าขึ้น สุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้พระครูธรรมธรสำราญ เจ้าอาวาสวัดจอมไตร (วัดเจาะ) ตำบลนาโยงเหนือ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ยังกล่าวถึงช้อนเอาไว้ว่า

               “เพราะช้อนกินข้าวเป็นสัญลักษณ์ของความคงทนถาวรและใช้กับอาหารคาวหวานได้ทุกชนิด อีกทั้งยังคงสภาพของความเป็นช้อนกินข้าวได้โดยไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ใครมีติดตัวไว้จะทำมาหากินคล่อง เดินทางปลอดภัยเช่นเดียวกับคนที่มีอายุร้อยปีขึ้นไป ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวหรือผ่านปัญหาอุปสรรคและผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน สิ่งของเครื่องใช้ที่ได้ไปจึงถือเป็นมงคลกับชีวิตและถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลอันกระทำสืบต่อกันมานานแล้ว”







               สรุปก็คือ เพราะช้อนไม่พังง่ายและใช้ได้ทนแม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดไหน จึงทำให้มันกลายเป็นตัวแทนของความยืนยาวแห่งชีวิต ยิ่งเป็นช้อนในงานศพของคนอายุยืนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ช้อนดูขลังยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ตามงานศพของผู้ตายที่มีอายุเกินร้อยปีขึ้นไปในภาคใต้จึงมีประเพณีแจกช้อนเป็นของชำร่วย แต่ด้วยในปัจจุบันผู้มีอายุยืนยาวหาได้น้อยลง ความเชื่อเหล่านี้จึงซบเซาลงจนทำให้คนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่นัก จนกลายเป็นเรื่องแปลกเมื่อบอกกับใครว่าจะไปหยิบช้อนจากงานศพของผู้เฒ่าอายุเกินร้อยปีกลับบ้านนั่นเองค่ะ



               และนี่คือที่มาของการสะสมช้อนของคนตายที่เรานำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกัน แต่ก่อนที่เราจะปิดสมุดบันทึกเล่มนี้ลง อยากจะขอเตือนเพื่อนๆ ไม่ให้มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยกันเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นของคนเป็นหรือคนตาย เพราะหากของของเขาหายไปคงไม่มีใครยินดีแน่ โดยเฉพาะของของคนตาย เพราะเขาอาจโกรธแค้นจนตามมาถึงบ้านได้ เหมือนกับคนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังของเพื่อนๆ ไงล่ะ อิอิ



ขอบคุณข้อมูลจาก
- สะสมช้อนงานศพ ความเชื่อโบราณ. (http://board.goosiam.com/lotto/html/0129473.html)
- เกลี้ยง! ช้อนงานศพ “ทวดตีบ” ญาติเผยเตรียมทำเพิ่มอีก 1 พันคันแจกในวันเผาศพ (http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9600000028240)
- แห่ขอช้อนงานศพคุณทวด 6 แผ่นดิน เชื่อให้โชคลาภ ค้าขายดี แคล้วคลาด (https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_262635)





✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎






ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน