วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มาดู!! ความเชื่อเรื่อง "อาถรรพ์" ในยุคไทยแลนด์ 4.0







 ✎ บทความโดย เขี้ยวแดง



               ยุคสมัยที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน  ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ได้ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมที่มาจากวิทยาศาสตร์มากมายเต็มไปหมดเลยนะคะ  ประเทศไทยเองก็กำลังจะพัฒนาไปเป็น ไทยแลนด์ 4.0 ในอีกไม่นานแล้วด้วย

               แต่เชื่อมั้ยว่า เรื่องของความเชื่อ บาปบุญคุณโทษหรือเครื่องรางของขลังก็ยังคงอยู่คู่สังคมไทย แถมยังมีการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับยุคสมัยอีกด้วย เพื่อให้แนบเนียนและอยู่ยงคงกระพันควบคู่ไปกับโลกของเทคโนโลยี

               บางคนอาจจะไม่เชื่อหูใช่มั้ยล่ะ ความเชื่ออาถรรพ์กับเทคโนโลยีจะไปด้วยกันได้ยังไงเล่า!?  วันนี้เขี้ยวแดงได้รวบรวมมาให้เพื่อน ๆ แล้วค่ะ  นวัตกรรมที่ผสานความเชื่อกับเทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสร้างสรรค์และทันโลก!



               แต่ก่อนจะไปทำความรู้จักกับเครื่องรางของขลังที่ปรับตัวจนตามทันไทยแลนด์ 4.0  เขี้ยวแดงก็ขออธิบายเพิ่มเติมอีกสักนิด เผื่อเพื่อน ๆ บางคนยังปวดหัวอยู่ว่า ไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร? และจู่ ๆ โผล่มาได้ไง 1.0 – 3.0 ล่ะ หายไปไหน???

               ใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ  เขี้ยวแดงจะไขข้อข้องใจให้เพื่อน ๆ เอง!




               ปัจจุบันนี้ สินค้าที่ไทยเราค้าขายกันอยู่ แบ่งออกได้เป็นหลายประเภทเลยค่ะ และสินค้าแต่ละชนิดนั้นก็ขายดีเป็นยุค ๆ ทำให้รัฐบาลนำเงินไปสนับสนุนสินค้าแตกต่างกันไปในแต่ละสมัย ที่ผ่านมาไทยแลนด์ 1.0 คือการสนับสนุนสินค้าเกษตรกรรมทั้งพืชและสัตว์ พอยุค 2.0 ก็ขยับมาหนุนอุตสาหกรรมเบา อย่างเสื้อผ้า, กระเป๋า หรืออาหารกระป๋อง เมื่อขยับเข้าสู่ยุค 3.0 ปุ๊บ ก็ดันอุตสาหกรรมหนักที่เน้นใช้เครื่องจักรกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการผลิต และยังมีการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้นด้วยนะ






                 ส่วนตอนนี้เรากำลังจะเป็นไทยแลนด์ 4.0 กันแล้ว ซึ่งก็คือ ยุคของนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ ๆ นั่นเอง ไม่ว่าจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ผสานกับความรู้ในด้านต่าง ๆ สร้างอะไรขึ้นมา ถ้าเข้าท่าก็ถือว่าเป็นไทยแลนด์ 4.0 แล้วล่ะค่ะ

               เพื่อน ๆ เข้าใจไทยแลนด์ 4.0 กันมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?  เข้าใจแล้วล่ะสิ (เขี้ยวแดงได้ยินเสียงเพื่อนๆ ตอบจริงๆ นะ >///<)  งั้นไปทำความรู้จักเครื่องรางของขลังต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาจากความสร้างสรรค์ของคนไทยจนก้าวทันโมเดลเศรษฐกิจไทยแลนด์ 4.0 กันเลย










1. ลิปสาลิกา เรียกเสน่ห์-เรียกทรัพย์


               เมื่อก่อนถ้าอยากจะเสริมเสน่ห์ให้มีแต่คนรักคนเมตตา พูดจาพาทีกับใครก็มีแต่จะคล้อยตามทั้งรักทั้งหลง และเชื่อถือในสิ่งที่เราพูดไปหมดทุกอย่าง ก็ต้องอมสาลิกาลิ้นทองเอาไว้ในปาก  ทั้งยังต้องบูชาสม่ำเสมอ  แต่วันนี้ด้วยนวัตกรรมใหม่จากอาจารย์หนู กันภัย  สาลิกาลิ้นทองถูกนำมารวมเข้ากับลิปมันซึ่งถือเป็นไอเท็มประจำกายของทั้งชายและหญิง  นอกจากจะรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปากแล้ว ก็มีฟังก์ชันพูดดีเป็นศรีแก่ปากเป็นเหมือนของแถมอีกด้วย

               นอกจากนี้ซื้อลิปสาลิกาแล้วยังแถมฟรีคาถาบูชา ไม่ต้องอมสาลิกาลิ้นทองให้เมื่อยปากอีกต่อไป สะดวกสบายจริง ๆ  และสำหรับสาว ๆ ยังมีแป้งพัฟเสริมเสน่ห์เอาไว้ใช้คู่กันอีกด้วยค่ะ! แหม สงสัยต้องมีไว้ครอบครองสักหน่อยแล้ว







2. ตู้เซียมซีอัตโนมัติ


               หลังจากเสี่ยงเซียมซีด้วยการเขย่ากระบอกมาหลายยุคหลายสมัย ถ้าเขย่าแล้วหล่นหลายไม้ก็พาลให้ต้องเขย่าใหม่อีกหลายครั้ง กลายเป็นว่ากว่าจะได้รู้ดวงชะตาก็เสียเวลาไปเกือบค่อนวัน

               แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปทันที ไม่ว่าจะรีบไปเรียนพิเศษ รีบไปเล่นกีฬา หรือไม่ว่าจะรีบไปอ่านการ์ตูนของพูนิก้า เพียงเพื่อน ๆ ใช้เจ้าตู้เซียมซีอัตโนมัติที่ตั้งอยู่ตามวัดหรือแม้แต่กลางห้างสรรพสินค้า แค่อธิษฐานแล้วหยอดเหรียญ รอเครื่องคำนวณผลบุญผลกรรมสักครู่ ระหว่างนี้ก็มองตามดวงไฟที่วิ่งวนผ่านเลขต่าง ๆ ไปเพลิน ๆ ยังไม่ทันเบื่อ ไฟก็จะหยุดลงบนเลขดวง ให้เพื่อน ๆ นำเลขไปหาใบเซียมซีได้แล้วค่ะ

               เห็นไหมว่าประหยัดเวลาไปตั้งเยอะ  นอกจากนี้ยังได้ทำบุญกับวัด แถมบางรุ่นยังมีเสียงสวดให้พรจากพระก่อนเสี่ยงเซียมซีได้ด้วยนะ คุ้มและสะดวกสุด ๆ ไปเล้ยยย







3. ศาลเจ้าพกพา


               ถือว่าเป็นนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายเลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อน ๆ สามารถพกศาลเจ้าจิ๋วนี้ไว้เพื่อความอุ่นใจเผื่อต้องขอพรกะทันหัน จะได้ยกออกมาขอพรกันได้อย่างทันท่วงทีทุกที่ทุกเวลาเลยค่ะ

               แต่น่าเสียดายที่ผลงานการสร้างสรรค์ของ "น้องฟาง" นักเรียนโรงเรียนนานาชาติเอกมัยชิ้นนี้ไม่ได้มีวางขาย เพราะเจ้าของผลงานทำเอาไว้เพื่อประกอบ Portfolio สำหรับศึกษาต่อทางด้านการออกแบบเท่านั้น แต่ผลงานศาลเจ้าพกพาซึ่งทำจากกระดาษชิ้นนี้ นับว่าดึงเอาจุดเด่นของศาลเจ้าออกมาได้อย่างสร้างสรรค์และสวยงามมากเลยนะคะ  ถ้าเกิดมีใครนำไอเดียนี้ไปต่อยอด และสร้างศาลเจ้าขนาดพกพาออกมาขายจริง ๆ อาจจะเกิดกระแสใหม่ขึ้นมาเลยก็ได้นะเนี่ย







4. จี้กุมารทอง


               แทนที่จะบูชากุมารทองตัวใหญ่ที่พกพาลำบาก จะย้ายบ้านแต่ละทีต้องขนย้ายกันวุ่นวาย หรือทุกครั้งที่จากบ้านก็เกิดอาการเป็นห่วงกุมารทองคู่ใจ

               นับได้ว่าจี้กุมารทองเหมาะมาก ๆ สำหรับเพื่อน ๆ ที่รักและอยากจะพกพากุมารทองติดตัวเอาไว้เพียงแค่เช่าจี้กุมารทอง สามารถเลือกรูปแบบที่ถูกใจได้ด้วยนะ! แล้วคล้องกับสร้อยติดตัวไว้ นอกจากจะเพิ่มความสวยงามให้กับตัวเองแล้ว ยังมีน้องกุมารทองคอยตามไปปกปักษ์รักษาในทุกที่อีกด้วย แหม อุ่นใจแล้วยังสวยอีกนะคะเนี่ย

               ซึ่งจี้กุมารของแบรนด์ CHARMAZ ก็มีน้องกุมารหน้าตาน่ารักในอิริยาบถต่าง ๆ ออกแบบมาได้ดูทันสมัยน่าสวมใส่อีกด้วยค่ะ







               เป็นยังไงบ้างคะ กับความเชื่ออาถรรพ์ที่ปรับตัวให้เข้ากับยุคไทยแลนด์ 4.0 ที่เขี้ยวแดงนำมาเสนอในวันนี้ เพื่อน ๆ คิดว่ามันน่าตื่นเต้นไหมคะ?  เขี้ยวแดงรู้สึกอึ้งในความคิดต่อยอดของคนไทยมาก ๆ เลยค่ะ

               ความเชื่อโบราณทั้งหลายอยู่คู่กับวิถีชีวิตคนไทยมานาน แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป วิถีชีวิตเราจึงเปลี่ยนไปด้วย หลาย ๆ อย่างที่น่าจะสูญหายไปตามกาลเวลา กลับถูกคนรุ่นใหม่นำมาผสมผสานให้เกิดเป็นสินค้าคลาสสิก ที่มีความทันสมัยได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ความเชื่อเหล่านี้ดูจะขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี แต่คนไทยก็สามารถนำมาประยุกต์พลิกแพลงให้เข้ากันได้อย่างลงตัว ทั้งยังมีความสวยงามและทันสมัยน่าใช้งานอีกด้วย 






               แล้วเพื่อน ๆ พอจะมีไอเดียความสร้างสรรค์อะไรเจ๋ง ๆ สำหรับยุคไทยแลนด์ 4.0 บ้างไหมคะ  ลองแชร์มาคุยกันได้นะ  สำหรับวันนี้เขี้ยวแดงก็ขอลาไปก่อน แล้วครั้งหน้าจะกลับมาพร้อมรีวิวดี ๆ อีกเช่นเคยค่า~





✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎







   
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ช้อนของคนตาย! เครื่องรางแห่งโชคลาภ









               สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้ทีมงานพูนิก้ามีบันทึกเรื่องราวแปลกๆ และน่าสนใจจะมาเล่าให้ฟังกันค่ะ เป็นเรื่องที่ชวนสงสัยและแปลกสุดๆ ถึงกับต้องอุทานกันเลยว่า เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? ถ้าพร้อมกันแล้วเรามาเปิดบันทึกความเชื่อสุดแปลกกันเลยค่ะ

               เมื่อพูดถึงการสะสมแล้วเพื่อนๆ จะนึกถึงอะไรกันบ้างคะ? บางคนก็คงจะนึกถึง การสะสมแสตมป์ประเภทต่างๆ บางคนก็คงจะเป็นการสะสมเหรียญกษาปณ์หลากหลายรูปแบบ หรือบางคนก็อาจเป็นการสะสมแมลงนานาชนิด ทว่าสิ่งที่เรากำลังจะพาทุกคนไปรู้จักไม่ใช่การสะสมในแบบธรรมดาหรอกนะคะ แต่เป็น “การสะสมช้อนในงานศพของผู้ตายซึ่งมีอายุร้อยปีขึ้นไป” นั่นเอง






               การสะสมช้อนของคนตายนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อของคนโบราณในภาคใต้ของประเทศเรานี่เองค่ะ แรกเริ่มเดิมทีแล้วลูกหลานของผู้ตายอายุยืนมักเก็บข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ที่ตำหมาก หรือของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ เพื่อเป็นการระลึกถึงพวกเขา แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็ทำกัน แต่เมื่อความเชื่อได้พัฒนาขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่มองว่าของใช้ของผู้ตายนั้นคือเครื่องรางของขลัง เป็นของมงคลที่ช่วยให้ค้าขายดี มีอายุยืนยาว แคล้วคลาดปลอดภัย ให้โชคให้ลาภ และไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

               แล้วเมื่อความเชื่อสั่งสมเพิ่มมากขึ้นและมีการแพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง จึงทำให้คนส่วนใหญ่ยึดถือเอาว่าหากไปงานศพของผู้ตายซึ่งมีอายุเกินร้อยปีต้องหยิบของจากในงานติดไม้ติดมือกลับมาด้วย โดยสิ่งของที่ถูกหยิบกลับไปมากที่สุดก็คือ “ช้อน” นั่นเอง และวิธีการที่จะทำให้ช้อนมีความขลังขึ้นคือต้องขโมยจากงานศพเท่านั้น!



               สาเหตุที่คนส่วนใหญ่มักหยิบช้อนในงานศพของผู้ตายที่มีอายุมากกว่าร้อยปีมาเป็นที่ระลึก เป็นเพราะความเชื่อที่ว่าการนำช้อนกลับไปเก็บไว้ที่บ้านหรือร้านค้าจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคล ทำให้มีกินมีใช้และทำมาค้าขึ้น สุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้พระครูธรรมธรสำราญ เจ้าอาวาสวัดจอมไตร (วัดเจาะ) ตำบลนาโยงเหนือ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ยังกล่าวถึงช้อนเอาไว้ว่า

               “เพราะช้อนกินข้าวเป็นสัญลักษณ์ของความคงทนถาวรและใช้กับอาหารคาวหวานได้ทุกชนิด อีกทั้งยังคงสภาพของความเป็นช้อนกินข้าวได้โดยไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ใครมีติดตัวไว้จะทำมาหากินคล่อง เดินทางปลอดภัยเช่นเดียวกับคนที่มีอายุร้อยปีขึ้นไป ซึ่งถือกันว่าเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวหรือผ่านปัญหาอุปสรรคและผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน สิ่งของเครื่องใช้ที่ได้ไปจึงถือเป็นมงคลกับชีวิตและถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลอันกระทำสืบต่อกันมานานแล้ว”







               สรุปก็คือ เพราะช้อนไม่พังง่ายและใช้ได้ทนแม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดไหน จึงทำให้มันกลายเป็นตัวแทนของความยืนยาวแห่งชีวิต ยิ่งเป็นช้อนในงานศพของคนอายุยืนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ช้อนดูขลังยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ตามงานศพของผู้ตายที่มีอายุเกินร้อยปีขึ้นไปในภาคใต้จึงมีประเพณีแจกช้อนเป็นของชำร่วย แต่ด้วยในปัจจุบันผู้มีอายุยืนยาวหาได้น้อยลง ความเชื่อเหล่านี้จึงซบเซาลงจนทำให้คนในยุคปัจจุบันไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่นัก จนกลายเป็นเรื่องแปลกเมื่อบอกกับใครว่าจะไปหยิบช้อนจากงานศพของผู้เฒ่าอายุเกินร้อยปีกลับบ้านนั่นเองค่ะ



               และนี่คือที่มาของการสะสมช้อนของคนตายที่เรานำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังกัน แต่ก่อนที่เราจะปิดสมุดบันทึกเล่มนี้ลง อยากจะขอเตือนเพื่อนๆ ไม่ให้มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อยกันเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นของคนเป็นหรือคนตาย เพราะหากของของเขาหายไปคงไม่มีใครยินดีแน่ โดยเฉพาะของของคนตาย เพราะเขาอาจโกรธแค้นจนตามมาถึงบ้านได้ เหมือนกับคนที่กำลังยืนอยู่ข้างหลังของเพื่อนๆ ไงล่ะ อิอิ



ขอบคุณข้อมูลจาก
- สะสมช้อนงานศพ ความเชื่อโบราณ. (http://board.goosiam.com/lotto/html/0129473.html)
- เกลี้ยง! ช้อนงานศพ “ทวดตีบ” ญาติเผยเตรียมทำเพิ่มอีก 1 พันคันแจกในวันเผาศพ (http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9600000028240)
- แห่ขอช้อนงานศพคุณทวด 6 แผ่นดิน เชื่อให้โชคลาภ ค้าขายดี แคล้วคลาด (https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_262635)





✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎






ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน




วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เชอร์ล็อก โฮล์ม แรงบันดาลใจสู่การสร้างสรรค์(ดัดแปลง)







 ✎ บทความ โดย   Cylinly 



               ถ้าจะพูดถึง “เชอร์ล็อก โฮล์ม” แล้วละก็ เชื่อว่าทุกคนในที่นี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก จริงไหมคะ? บทประพันธ์สุดคลาสสิกนี้สร้างสรรค์ขึ้นจากปลายปากกาของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ นักเขียนและคุณหมอชาวสกอตต์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19  วรรณกรรมอมตะเรื่องนี้โด่งดังและประทับใจผู้อ่านเป็นอย่างมาก แม้ว่าผู้เขียนจะได้เสียชีวิตลงไปแล้วในปี ค.ศ. 1930 แต่เหล่าผู้ชื่นชอบย่อมไม่ต้องการให้วรรณกรรมที่ตนรักตายตามไปด้วย จึงเกิดเป็นการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่ทั้งหยิบยกและมีแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของเชอร์ล็อก โฮล์มมากมายทีเดียว


               ตัวละครเชอร์ล็อก โฮล์มเป็นนักสืบชาวลอนดอนผู้ปราดเปรื่อง ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังด้านทักษะการประมวลเหตุและผล(อนุมาน) ที่อาศัยจากหลักฐานและการสังเกตอย่างคาดไม่ถึงมาใช้คลี่คลายคดีต่าง ๆ  โดยในเกือบทุกตอนจะเล่าเรื่องจากมุมมองของเพื่อนคู่หู คู่จิ้น (อุ๊ปส์) ของโฮล์ม คือ ดร. จอห์น เอช. วัตสัน หรือ หมอวัตสัน นั่นเอง


พิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อก โฮล์ม



               ความโด่งดังของเชอร์ล็อก โฮล์ม ทำให้ผู้อ่านจำนวนมากเชื่อว่าเขามีตัวตนจริง จนถึงขั้นมีคนส่งจดหมายไปหา แถมยังมีพิพิธภัณฑ์กับอนุสาวรีย์เป็นของตัวเองอีกด้วย  เรื่องราวของเขาถูกนำไปสร้างเป็นทั้งละครและภาพยนตร์มากมาย จนหนังสือกินเนสส์บุ๊กบันทึกไว้ว่า “เชอร์ล็อก โฮล์มเป็นตัวละครที่มีผู้แสดงมากที่สุด”


ผู้แสดงเป็นเชอร์ล็อก โฮล์มในอดีต

               มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้านำเรื่องราวมายำ เอ้ย! มาสร้างสรรค์เป็นแบบฉบับใหม่อย่างนี้ จะไม่ผิดลิขสิทธิ์ของต้นฉบับเหรอคะ?  คำตอบคือไม่เลยจ้า เพราะตอนนี้เชอร์ล็อก โฮล์มได้กลายเป็น ลิขสิทธิ์สาธารณะ ไปแล้ว  งานทั่ว ๆ ไป(รวมถึงงานวรรณกรรม) ลิขสิทธิ์จะมีตลอดอายุผู้สร้างสรรค์ และจะมีต่อไปอีก 50 ปี นับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย  ซึ่งเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์เสียชีวิตมากว่า 80 ปีแล้ว ผลงานเชอร์ล็อก โฮล์มเกือบทุกตอนของเขาจึงถูกจัดเป็นผลงานสาธารณะ ยกเว้น 10 เรื่องสุดท้ายที่ตีพิมพ์หลังปี ค.ศ. 1923 ที่จะยังได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2022




               ดังนั้นจึงมีทั้งนิยาย การ์ตูน ทีวีซีรีส์ ภาพยนตร์ หรือสื่ออื่น ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจ(ดัดแปลง)มาจากเชอร์ล็อก โฮล์มมากมาย  และบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่เราเองก็คาดไม่ถึงเลยก็ได้ค่ะ







ภาพยนตร์ Sherlock Holmes


               ในเวอร์ชันของภาพยนตร์ เชอร์ล็อก โฮล์มได้ถูกถ่ายทอดออกมาแล้ว 2 ภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาคดับแผนพิฆาตโลก และภาคเกมพญายมมรณะ  ซึ่งในภาพยนตร์นี้ได้หยิบยกโฮล์มมานำเสนอแบบตรงตัว แม้จะไม่ได้ถอดเรื่องราวมาจากในหนังสือแบบเป๊ะ ๆ แต่ก็ได้รับอิทธิพลมาค่อนข้างมาก  ในหนังเราจึงเห็นเชอร์ล็อกกับวัตสันในแบบคลาสสิก ย้อนไปยุคสมัยเดียวกับที่แต่ง เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟน ๆ ที่ชื่นชอบโฮล์มแบบดั้งเดิม






ทีวีซีรีส์ Sherlock


               ทีวีซีรีส์อันโด่งดังจากอังกฤษ ในเรื่องนี้ได้ดัดแปลงให้โฮล์มกับวัตสันอยู่ในยุคปัจจุบัน จึงมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเกี่ยวข้องด้วยมาก เราจะเห็นเชอร์ล็อกใช้สมาร์ทโฟนในการหาข้อมูลแทบจะทั้งเรื่อง จากเบาะแสที่เป็นนาฬิกาพกก็เปลี่ยนมาเป็นโทรศัพท์มือถือ   ซีรีส์นี้สามารถนำบทประพันธ์ดั้งเดิมมาประยุกต์ โดยไม่ทำให้ใจความสำคัญหายไป  และยังมีมุกตลกแทรกอยู่ตลอดเวลา  เป็นโฮล์มกับวัตสันอีกเวอร์ชันหนึ่งที่แฟน ๆ ติดกันงอมแงม แม้จะมีเพียงซีซันละ 3 ตอนเท่านั้น






Elementary


               เรื่องราวของในอีกแบบฉบับหนึ่ง ที่แม้ชื่อซีรีส์จะไม่ใช้ชื่อตัวละครเอกแต่ก็คือเรื่องราวของโฮล์มกับวัตสันเช่นกัน  ในเรื่องนี้แหวกไปตรงที่วัตสันเป็นคุณหมอหญิง และเปลี่ยนชื่อจากจอห์น เป็น โจนส์  เนื้อเรื่องก็ถูกปรับให้เข้ากับยุคปัจจุบันมากขึ้น  เวอร์ชันนี้ให้เชอร์ล็อกทำงานเป็นที่ปรึกษาในกรมตำรวจอังกฤษ ที่ย้ายมาอยู่นิวยอร์คเพื่อบำบัดอาการติดยา โดยมีหมอโจนส์เป็นผู้ดูแลและกลายเป็นผู้ช่วยสืบคดีไปโดยปริยาย  คู่ปรับของโฮล์มฉบับคลาสสิกอย่าง มอริอาตี้ ก็ปรากฏในเวอร์ชันนี้ด้วย






House MD


               ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึงคุณหมอขากระเพกคนหนึ่งในแผนกพิเศษของโรงพยาบาลที่มีหน้าที่รักษาโรคประหลาด หรือโรคที่คนอื่นรักษาไม่ได้ ดูแล้วเหมือนไม่ค่อยเกี่ยวกับโฮล์มเท่าไร แต่ความจริงแล้วได้รับอิทธิพลมาเต็ม ๆ ค่ะ ตั้งแต่ชื่อ เฮ้าส์ ที่ตั้งล้อกับ โฮล์ม (เข้าใจคิดนะคะ) นิสัยที่ชอบใช้ยา(ติดยา)เหมือนกัน บ้านเลขที่เดียวกัน เลือกรับงานเฉพาะที่ตัวเองสนใจเหมือนกัน  ที่สำคัญคือทักษะการประมวลเหตุและผล(อนุมาน) ที่อาศัยจากการสังเกตอาการต่าง ๆ ของผู้ป่วย รวมไปถึงที่อยู่อาศัยหรือปูมหลัง เพื่อนำมาวินิจฉัยและทำการรักษาโรค  และอีกคนที่ขาดไม่ได้คือ เพื่อนสนิทของเฮ้าส์ที่เป็นคุณหมอเหมือนกันชื่อเจมส์ วิลสัน  ดู ๆ ไปเริ่มคล้ายแล้วใช่ไหมคะ





               ไม่ใช่แค่ชาวยุโรปเท่านั้นที่อินกับวรรณกรรมเรื่องนี้ เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นแนวสืบสวนสอบสวนชื่อดัง ก็ยังได้รับแรงบันดาลใจจากเชอร์ล็อก โฮล์มเช่นกัน



ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน


               เรื่องราวของ คุโด้ ชินอิจิ นักเรียนม.ปลายผู้มีความสามารถด้านการสืบสวน ที่ถูกองค์กรร้ายทำให้เขากลายร่างเป็นเด็ก 7 ขวบ เขาจึงใช้ชื่อใหม่ว่า “เอโดงาวะ โคนัน” คอยไขคดีต่าง ๆ พร้อมกับหาวิธีกลับร่างเดิม




               โคนันนั้นได้รับอิทธิพลจากเชอร์ล็อก โฮล์มค่อนข้างมากทีเดียวค่ะ ทั้งบุคลิกของตัวละครหลัก ชื่อของตัวละครที่นำมาจากชื่อกลางของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์  และคำพูดติดปากที่โคนันชอบพูดอย่าง “หากตัดความเป็นไปไม่ได้ออกให้หมด สิ่งที่เหลืออยู่แม้ไม่น่าเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นความจริงเสมอ” ก็เป็นคำพูดที่โฮล์มเคยพูดไว้กับหมอวัตสัน องค์กรชายชุดดำที่เป็นตัวร้ายหลักในเรื่อง ก็เปรียบได้กับมอริอาตี้ในเชอร์ล็อก โฮล์ม  ทั้งสองเรื่องนี้จึงมีความคล้ายกันหลายส่วน แต่ในความคล้ายก็มีความต่างตรงที่เชอร์ล็อก โฮล์มจะให้อารมณ์เรื่องที่เป็นผู้ใหญ่ ไม่มีมุกขำขันมากนัก ในขณะที่โคนันเป็นการ์ตูนสำหรับเด็ก จึงเบาสมองมากกว่า





               ในไทยเองก็ได้รับอิทธิพลมาเช่นกัน การเข้ามาในยุคแรก ๆ ของอิทธิพลเชอร์ล็อก โฮล์มทำให้เกิดเป็นกระแสนิยายสืบสวนสอบสวน หรือวรรณกรรมแนวรหัสคดีขึ้นในไทยเลยทีเดียว



นิทานทองอิน หรือประพฤติการณ์ของนายทองอิน รัตนะเนตร์


               เรื่องนี้เป็นบทประพันธ์ในพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6) ตั้งแต่สมัยยังทรงเป็นมกุฏราชกุมาร โดยลงพิมพ์ในทวีปัญญารายเดือน ระหว่างพ.ศ. 2447-2448 และเป็นนิยายสืบสวนสอบสวน(รหัสคดี)ที่มีตัวละครต่อเนื่องชุดแรกในไทยอีกด้วย




               ตัวเอกในเรื่องนี้ชื่อนายทองอิน รัตนะเนตร์ มีอาชีพนักสืบ เขามีภาพลักษณ์คล้ายโฮล์ม แต่เป็นโฮล์มสไตล์สยามเมืองยิ้ม สวมชุดราชปะแตน นุ่งโจงกระเบน สูบกล้องยาสูบ  เป็นภาพความเท่แบบคุณหลวงไทยสมัยก่อนเลยค่ะ นายทองอินมีเพื่อนสนิทคู่ใจชื่อนายวัด ซึ่งคล้ายกับคุณหมอวัตสันของโฮล์มนั่นเอง  นายวัดเป็นผู้เล่าเรื่องการสืบสวนคดีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยนายทองอินจะใช้ไหวพริบ การสังเกต และสติปัญญาขบคิดปัญหาต่าง ๆ จนสามารถคลี่คลายคดีได้


               ความน่าสนใจของบทประพันธ์นี้คือ การนำเรื่องราวมาดัดแปลงให้เป็นแบบขนบไทย ๆ และเรียงร้อยได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการนำตำนานที่อิงภูติผีปีศาจมาประยุกต์ อย่างตอนนากพระโขนงที่สอง หรือนำมุมมองการแพทย์และวัฒนธรรมสากลมาประสมรวมอย่างน่าทึ่ง เช่น ตอนการฆาตกรรมด้วยเข็ม






               และโฮล์มเรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวถึง เป็นการนำโฮล์มมาประยุกต์รวมกับความแฟนตาซีและเรื่องลึกลับในแบบนิยายสอบสวน อันเป็นเอกลักษณ์ของ สำนักพิมพ์พูนิก้า ได้แก่


 


  วัตสัน&โฮล์ม ถอดรหัสยีนส์ฆาตกรรม และ 1880 วัตสัน&โฮล์ม ตุ๊กตากลคู่คนอัจฉริยะ


               โฮล์มที่ถูกถ่ายทอดผ่านสองยุคสมัย คือโฮล์มในยุคคลาสสิกตามต้นฉบับ ที่ถูกตีความให้เป็นแฟนตาซีมากขึ้น โดยให้วัตสันเป็นตุ๊กตากลแทนที่จะเป็นมนุษย์จริง ๆ และเรื่องราวภาคต่อในยุคปัจจุบัน ที่วัตสันกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ร่วมสืบคดีคู่กับ “เฌอลัญจ์ โฮล์ม อนุมานสกุล” เด็กสาวผู้สืบเชื้อสายมาจากเชอร์ล็อก โฮล์มในยุค ค.ศ. 1880 แต่แน่นอนว่าไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดผ่านเนื้อเรื่องที่ลุ้นระลึก รวมกับเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติสไตล์สาย Black Fantasy อีกด้วย

                นอกจากนี้ ทางพูนิก้าเองยังได้ต่อยอดเรื่องราวของโฮล์มยุคปัจจุบันภายใต้คอนเซ็ปต์ "จะเป็นอย่างไร หากโฮล์มที่เรารู้จัก ไม่ได้มีแค่คนเดียว?!" จนทำให้เกิดเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นของโฮล์มนานาชาติที่มาจากการคัดสรรนักสืบอัจฉริยะจากทั่วทุกมุมโลก รวมตัวกันเป็น "โฮล์ม สมาพันธ์คนอัจฉริยะ" เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของเชอร์ล็อค โฮล์มคนก่อน และได้ออกผลงานมาเป็น Special Book ที่มีทั้งตัวนิยายและการ์ตูนอยู่ในเล่มเดียว เล่าเรื่องเกี่ยวกับโฮล์มแต่ละประเทศกับการไขคดีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกต่างไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ มีทั้งหมด 2 เล่ม แบ่งเป็นเรื่องราวของโฮล์มฝั่งโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ซึ่งหนึ่งในนั้นมีโฮล์มจากประเทศไทยของเราด้วยล่ะค่ะ


    





               จะเห็นว่าวรรณกรรมอมตะนั้นจะคงอยู่ในใจผู้อ่านเหนือกาลเวลา และนอกจากจะสืบทอดส่งผ่านให้รุ่นลูกหลานได้มีโอกาสอ่านวรรณกรรมที่ดีแล้ว เชอร์ล็อก โฮล์มก็ยังเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ สืบต่อความคิดสร้างสรรค์ ให้ผู้อ่านได้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ ถ่ายทอดสู่สังคมต่อไปอีกด้วย  ดังนั้น หากเรามีความชื่นชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เราสามารถนำสิ่งนั้นมาประยุกต์ ต่อยอด ให้เกิดเป็นผลงานในแบบฉบับของตัวเราเอง ที่อาจจะกลายเป็นความอมตะต่อไปในอนาคตได้เช่นเดียวกัน






✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎











ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

แบบนี้ก็สะสมได้เหรอ? 10 ของสะสมสุดแปลกที่เห็นแล้วจะต้องอึ้ง







 ✎ บทความ โดย   Cylinly 



               เพื่อน ๆ รู้ไหมคะว่า โลกของเรานี้มีผู้ที่ชื่นชอบการสะสมอยู่มากมาย และเชื่อว่าหลาย ๆ คนในที่นี้ต้องมีนักสะสมตัวยงแฝงตัวอยู่เป็นแน่ แต่ละคนก็จะมีความพึงพอใจในการสะสมของที่ชอบ ที่ใช่ไปตามสไตล์ของตัวเอง อาจจะเป็นหนังสือนิยายที่มีหลาย ๆ เล่มจบ หรือของเป็นพรีเมี่ยมลิมิเต็ดอิดิชั่นที่มีไม่กี่ชิ้นบนโลก ทว่าของเหล่านี้ก็เป็นสิ่งของทั่วไปที่ใครๆ ก็เก็บกัน ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนจริงไหมคะ? ยุคนี้แล้วเราต้องทำอะไรให้มันแหวกแนวเข้าไว้ ดังนั้น มาค่ะ วันนี้เราจะพาไปชมของสะสมแปลก ๆ ที่คนหมกมุ่นขั้นสุดเท่านั้นถึงจะเก็บได้






1. เส้นผมของผู้มีชื่อเสียง


               John Reznikoff ผู้เป็นเจ้าของคอลเล็กชั่นเส้นผมของเซเลบริตี้ผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากที่สุดในโลก จากรสนิยมสุดแปลกทำให้เขาไล่ตามหาเส้นผมของผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาไว้ในครอบครอง ทั้งเส้นผมของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Abraham Lincoln หรือแม้แต่เส้นผมของเซ็กซี่สตาร์ยุค 50s อย่าง Marilyn Monroe เขาก็มีเช่นกัน หูววว อยากจะยกนิ้วให้กับความพยายามและความกล้าไปขอเส้นผมจากคนเหล่านั้นเลยค่ะ






2. ปูนปลาสเตอร์รูปอวัยวะเพศ 


               Cynthia Albritton หญิงสาวชาวอเมริกัน ผู้คลั่งไคล้การสะสมรูปหล่อปูนปลาสเตอร์อวัยวะเพศของคนดังจากสาขาอาชีพต่างๆ โดยรูปหล่อแต่ละชิ้นของเธอทำขึ้นโดยมีต้นแบบจากของจริง โดยศิลปินคนแรกที่ยอมให้เธอจำลองไอ้หนูของเขาก็คือมือกีตาร์ชื่อก้องโลกอย่าง Jimi Hendrix และตามด้วยเหล่าคนมีชื่อเสียงอื่น ๆ อีกมากมาย อันนี้แค่คิดถึงตอนไปติดต่อขอหล่อปูนก็อายแทนแล้วค่ะ ไม่ต้องคิดไปถึงตอนลงมือทำเลย






3. จิ้งจก


               เด็กหนุ่มชาวอินเดีย ชื่อ Navratan Harsh กับฉายาของเขา ‘Lizard Boy’ หรือไอ้หนุ่มจิ้งจก ผู้ชื่นชอบการใช้ชีวิตอยู่กับของสะสมอย่างจิ้งจก ซึ่งเขาหลงใหลชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก และมักจะชอบเล่นกับพวกมันด้วยการนำมาวางไว้บนใบหน้า หรืออมไว้ในปาก เอิ่มมมมม นี่จิ้งจกนะ ไม่ใช่ลูกอมจะได้เอามาอมเล่นได้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่มันดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในปากเลยค่ะ คงหยึยปากพิลึกนะคะ






4. งานศิลปะประหลาดจากซากสัตว์


               Andrew Lancaster ชาวนิวซีแลนด์ผู้สะสมซากสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนู, เป็ด, นก, หมู, หรือกระต่าย ที่เขาพบเจอตามท้องถนน เขาจะนำมาทำความสะอาดและจัดการสร้างเป็นผลงานศิลปะรูปร่างแปลกตา ไม่รู้ว่าต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน ถึงจะไปแงะซากสัตว์ตายมาเก็บได้ นี่แค่เห็นไกลๆ ยังไม่กล้ามองเลยคร้า






5. หมากฝรั่งเคี้ยวแล้ว


               Barry Chappell ใช้เวลากว่า 6 ปีสะสมหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วกว่า 95,200 ชิ้น จนหมากฝรั่งก้อนโตรูปลูกบอลยักษ์มีน้ำหนักกว่า 175 ปอนด์ หรือ 79 กิโลกรัมเลยทีเดียว ทำไปได้นะคะ ไม่อยากจะนึกถึงกลิ่นของก้อนหมากฝรั่งอันนี้เลยค่ะ กลิ่นน้ำลายบูดคงลอยมาแต่ไกล






6. ถุงเท้าใช้แล้ว


               Dug Gaines ชายหนุ่มผู้มีอาการ ‘foot fetishist’ หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่าผู้ที่มีอารมณ์ทางเพศ หรือเกิดแรงกระตุ้นทางเพศจากเท้า เขาจึงคลั่งไคล้สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเท้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถุงเท้าใช้แล้ว ที่เขาบ้าสะสมเก็บใส่ถุงซิปล็อกไว้กว่า 300 คู่ เอ่อออ อันนี้ก็ไม่อยากจะนึกถึงกลิ่นตอนเปิดถุงเช่นกัน ไม่แน่ใจว่าถ้าใส่หน้ากากอนามัยจะกันกลิ่นอยู่ไหม?






7. อวัยวะเพศของสัตว์


               Sigurdur Hjartarson ชายหนุ่มชาวไอซ์แลนด์ ผู้สะสม อวัยวะเพศของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้กว่า 143 ชิ้น และเขายังรอของสะสมชิ้นสุดท้าย ที่จะทำให้คอลเล็กชั่นของเขาสมบูรณ์แบบอยู่ นั่นคือ ‘อวัยวะเพศชายของมนุษย์’ นั่นเอง บางครั้งก็สงสัยนะคะ ว่าในใจเขาคิดยังไงถึงได้สะสมอะไรแบบนี้ได้






8. หนังเท้าที่ตาย


               สิ่งที่หญิงสาวจากฟิลาเดเฟีย คนนี้สะสมมันคือหนังที่ตายแล้ว โดยเธอจะค่อย ๆ ลอกหนังเท้าออกจากเท้าของตัวเอง เธอชื่นชอบมากถึงขนาดสะสมไว้ในขวดเลยทีเดียว นอกจากนี้เธอยังเก็บแม้กระทั่งผงจากเท้าที่เธอขัดเอาไว้อีกด้วย แหม สะสมแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ ว่าไหม (ประชด)






9. หนังมนุษย์


               Dr. Katsunari Fukushi อาจารย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยโตเกียว และเป็นผู้ก่อตั้ง Japan Tattoo Institute ผู้ชื่นชอบการสะสมผิวหนังที่มีรอยสักของมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว กว่า 100 แบบ โดยเฉพาะรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์อย่างรอยสักของยากูซ่าของญี่ปุ่น เป็นของสะสมที่น่าขนลุกไปอีก แต่ยังค่ะ ยังไม่ถึงที่สุด เรามาดูอันดับสุดท้ายกันค่ะ






10. หัวของมนุษย์


               Horatio Gordon Robley ชาวนิวซีแลนด์ ผู้รักการสะสมศีรษะของชนเผ่าเมารี โดยมีมากถึง 35 หัวเลยทีเดียว ซึ่งคอลเล็กชั่นส่วนตัวของเขาปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ American Museum of Natural History ในมหานครนิวยอร์ก อันนี้คงเป็นของสะสมเดียวที่ไม่อยากไปเห็นเองกับตาแน่นอน แค่ลองจินตนาการดูก็ยังสยองจนขนหัวลุกเลยค่ะ บรึ๋ยยยย ไม่อยากจะนึกภาพเวลาเดินเข้าไปในห้องสะสมที่มีแต่หัวเลยนะคะ ในนั้นต้องมีวิญญาณเจ้าของหัวอาศัยอยู่ด้วยแน่นอน และไม่รู้ว่าหัวไหนจะลืมตามาแสยะยิ้มให้ แค่คิดก็นอนไม่หลับแล้วค่ะ 





               เป็นยังไงกันบ้างคะกับของสะสมสุดแปลกที่เอามาเล่าให้ฟัง แปลกพอไหมคะ? มีใครให้แปลกว่านี้ก็เอามาโชว์กันได้น้า สำหรับวันนี้ขอหนีไปคิดก่อนว่าจะหาอะไรมาสะสมให้แหวกแนวแบบหลุดโลกดีค่ะ 

               อ่อๆๆ ขอทิ้งท้ายไว้สักนิด รักจะสะสมอะไรก็ตามก็ควรจะจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าไปวางทิ้งไว้ระเกะระกะนะคะ อาจโดนแม่ดุจนหูชาได้ และยังอาจเจ็บตัวเพราะเผลอไปสะดุดข้าวของล้มหัวฟาด ฟันหัก หน้าพังกันไปอีก ที่สำคัญถ้าดูแลไม่ดีของที่เพียรสะสมมาก็อาจจะหายได้ เสียดายแย่เลยนะคะ อุตส่าห์ฝ่าฟันหามาตั้งนานนะ ไหนๆ มีของที่คลั่งไคล้อยู่กับตัวแล้ว ก็รักษาเอาไว้ดีๆ นะคะ ไปละค่ะ บ๊ายบาย





✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎









  
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน