วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

แบบนี้ก็สะสมได้เหรอ? 10 ของสะสมสุดแปลกที่เห็นแล้วจะต้องอึ้ง







 ✎ บทความ โดย   Cylinly 



               เพื่อน ๆ รู้ไหมคะว่า โลกของเรานี้มีผู้ที่ชื่นชอบการสะสมอยู่มากมาย และเชื่อว่าหลาย ๆ คนในที่นี้ต้องมีนักสะสมตัวยงแฝงตัวอยู่เป็นแน่ แต่ละคนก็จะมีความพึงพอใจในการสะสมของที่ชอบ ที่ใช่ไปตามสไตล์ของตัวเอง อาจจะเป็นหนังสือนิยายที่มีหลาย ๆ เล่มจบ หรือของเป็นพรีเมี่ยมลิมิเต็ดอิดิชั่นที่มีไม่กี่ชิ้นบนโลก ทว่าของเหล่านี้ก็เป็นสิ่งของทั่วไปที่ใครๆ ก็เก็บกัน ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนจริงไหมคะ? ยุคนี้แล้วเราต้องทำอะไรให้มันแหวกแนวเข้าไว้ ดังนั้น มาค่ะ วันนี้เราจะพาไปชมของสะสมแปลก ๆ ที่คนหมกมุ่นขั้นสุดเท่านั้นถึงจะเก็บได้






1. เส้นผมของผู้มีชื่อเสียง


               John Reznikoff ผู้เป็นเจ้าของคอลเล็กชั่นเส้นผมของเซเลบริตี้ผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากที่สุดในโลก จากรสนิยมสุดแปลกทำให้เขาไล่ตามหาเส้นผมของผู้มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาไว้ในครอบครอง ทั้งเส้นผมของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา Abraham Lincoln หรือแม้แต่เส้นผมของเซ็กซี่สตาร์ยุค 50s อย่าง Marilyn Monroe เขาก็มีเช่นกัน หูววว อยากจะยกนิ้วให้กับความพยายามและความกล้าไปขอเส้นผมจากคนเหล่านั้นเลยค่ะ






2. ปูนปลาสเตอร์รูปอวัยวะเพศ 


               Cynthia Albritton หญิงสาวชาวอเมริกัน ผู้คลั่งไคล้การสะสมรูปหล่อปูนปลาสเตอร์อวัยวะเพศของคนดังจากสาขาอาชีพต่างๆ โดยรูปหล่อแต่ละชิ้นของเธอทำขึ้นโดยมีต้นแบบจากของจริง โดยศิลปินคนแรกที่ยอมให้เธอจำลองไอ้หนูของเขาก็คือมือกีตาร์ชื่อก้องโลกอย่าง Jimi Hendrix และตามด้วยเหล่าคนมีชื่อเสียงอื่น ๆ อีกมากมาย อันนี้แค่คิดถึงตอนไปติดต่อขอหล่อปูนก็อายแทนแล้วค่ะ ไม่ต้องคิดไปถึงตอนลงมือทำเลย






3. จิ้งจก


               เด็กหนุ่มชาวอินเดีย ชื่อ Navratan Harsh กับฉายาของเขา ‘Lizard Boy’ หรือไอ้หนุ่มจิ้งจก ผู้ชื่นชอบการใช้ชีวิตอยู่กับของสะสมอย่างจิ้งจก ซึ่งเขาหลงใหลชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก และมักจะชอบเล่นกับพวกมันด้วยการนำมาวางไว้บนใบหน้า หรืออมไว้ในปาก เอิ่มมมมม นี่จิ้งจกนะ ไม่ใช่ลูกอมจะได้เอามาอมเล่นได้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่มันดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในปากเลยค่ะ คงหยึยปากพิลึกนะคะ






4. งานศิลปะประหลาดจากซากสัตว์


               Andrew Lancaster ชาวนิวซีแลนด์ผู้สะสมซากสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนู, เป็ด, นก, หมู, หรือกระต่าย ที่เขาพบเจอตามท้องถนน เขาจะนำมาทำความสะอาดและจัดการสร้างเป็นผลงานศิลปะรูปร่างแปลกตา ไม่รู้ว่าต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งแค่ไหน ถึงจะไปแงะซากสัตว์ตายมาเก็บได้ นี่แค่เห็นไกลๆ ยังไม่กล้ามองเลยคร้า






5. หมากฝรั่งเคี้ยวแล้ว


               Barry Chappell ใช้เวลากว่า 6 ปีสะสมหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้วกว่า 95,200 ชิ้น จนหมากฝรั่งก้อนโตรูปลูกบอลยักษ์มีน้ำหนักกว่า 175 ปอนด์ หรือ 79 กิโลกรัมเลยทีเดียว ทำไปได้นะคะ ไม่อยากจะนึกถึงกลิ่นของก้อนหมากฝรั่งอันนี้เลยค่ะ กลิ่นน้ำลายบูดคงลอยมาแต่ไกล






6. ถุงเท้าใช้แล้ว


               Dug Gaines ชายหนุ่มผู้มีอาการ ‘foot fetishist’ หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่าผู้ที่มีอารมณ์ทางเพศ หรือเกิดแรงกระตุ้นทางเพศจากเท้า เขาจึงคลั่งไคล้สิ่งต่างๆ เกี่ยวกับเท้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะถุงเท้าใช้แล้ว ที่เขาบ้าสะสมเก็บใส่ถุงซิปล็อกไว้กว่า 300 คู่ เอ่อออ อันนี้ก็ไม่อยากจะนึกถึงกลิ่นตอนเปิดถุงเช่นกัน ไม่แน่ใจว่าถ้าใส่หน้ากากอนามัยจะกันกลิ่นอยู่ไหม?






7. อวัยวะเพศของสัตว์


               Sigurdur Hjartarson ชายหนุ่มชาวไอซ์แลนด์ ผู้สะสม อวัยวะเพศของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้กว่า 143 ชิ้น และเขายังรอของสะสมชิ้นสุดท้าย ที่จะทำให้คอลเล็กชั่นของเขาสมบูรณ์แบบอยู่ นั่นคือ ‘อวัยวะเพศชายของมนุษย์’ นั่นเอง บางครั้งก็สงสัยนะคะ ว่าในใจเขาคิดยังไงถึงได้สะสมอะไรแบบนี้ได้






8. หนังเท้าที่ตาย


               สิ่งที่หญิงสาวจากฟิลาเดเฟีย คนนี้สะสมมันคือหนังที่ตายแล้ว โดยเธอจะค่อย ๆ ลอกหนังเท้าออกจากเท้าของตัวเอง เธอชื่นชอบมากถึงขนาดสะสมไว้ในขวดเลยทีเดียว นอกจากนี้เธอยังเก็บแม้กระทั่งผงจากเท้าที่เธอขัดเอาไว้อีกด้วย แหม สะสมแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ ว่าไหม (ประชด)






9. หนังมนุษย์


               Dr. Katsunari Fukushi อาจารย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยโตเกียว และเป็นผู้ก่อตั้ง Japan Tattoo Institute ผู้ชื่นชอบการสะสมผิวหนังที่มีรอยสักของมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้ว กว่า 100 แบบ โดยเฉพาะรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์อย่างรอยสักของยากูซ่าของญี่ปุ่น เป็นของสะสมที่น่าขนลุกไปอีก แต่ยังค่ะ ยังไม่ถึงที่สุด เรามาดูอันดับสุดท้ายกันค่ะ






10. หัวของมนุษย์


               Horatio Gordon Robley ชาวนิวซีแลนด์ ผู้รักการสะสมศีรษะของชนเผ่าเมารี โดยมีมากถึง 35 หัวเลยทีเดียว ซึ่งคอลเล็กชั่นส่วนตัวของเขาปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ American Museum of Natural History ในมหานครนิวยอร์ก อันนี้คงเป็นของสะสมเดียวที่ไม่อยากไปเห็นเองกับตาแน่นอน แค่ลองจินตนาการดูก็ยังสยองจนขนหัวลุกเลยค่ะ บรึ๋ยยยย ไม่อยากจะนึกภาพเวลาเดินเข้าไปในห้องสะสมที่มีแต่หัวเลยนะคะ ในนั้นต้องมีวิญญาณเจ้าของหัวอาศัยอยู่ด้วยแน่นอน และไม่รู้ว่าหัวไหนจะลืมตามาแสยะยิ้มให้ แค่คิดก็นอนไม่หลับแล้วค่ะ 





               เป็นยังไงกันบ้างคะกับของสะสมสุดแปลกที่เอามาเล่าให้ฟัง แปลกพอไหมคะ? มีใครให้แปลกว่านี้ก็เอามาโชว์กันได้น้า สำหรับวันนี้ขอหนีไปคิดก่อนว่าจะหาอะไรมาสะสมให้แหวกแนวแบบหลุดโลกดีค่ะ 

               อ่อๆๆ ขอทิ้งท้ายไว้สักนิด รักจะสะสมอะไรก็ตามก็ควรจะจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าไปวางทิ้งไว้ระเกะระกะนะคะ อาจโดนแม่ดุจนหูชาได้ และยังอาจเจ็บตัวเพราะเผลอไปสะดุดข้าวของล้มหัวฟาด ฟันหัก หน้าพังกันไปอีก ที่สำคัญถ้าดูแลไม่ดีของที่เพียรสะสมมาก็อาจจะหายได้ เสียดายแย่เลยนะคะ อุตส่าห์ฝ่าฟันหามาตั้งนานนะ ไหนๆ มีของที่คลั่งไคล้อยู่กับตัวแล้ว ก็รักษาเอาไว้ดีๆ นะคะ ไปละค่ะ บ๊ายบาย





✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎









  
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เป็นไปได้ไหมที่จะนอนไม่หลับแบบ “ภาม คนรับจ้างตาย” ในโลกความจริง








✎ บทความโดย Poriuz's Tales








         หากใครเคยได้มีโอกาสอ่านซีรีส์ “ภาม คนรับจ้างตาย” ก็จะรู้จักตัวละคร “ภาม” ตามที่ “วาฬน้ำเงิน” ได้เขียนไว้ก็คือ...เขาจะสามารถนอนหลับได้ก็ต่อเมื่อเขาตายเท่านั้น 

         แต่ลองมาคิดกันเล่น ๆ ดูไหมคะ ว่า...คนที่จะกลายเป็นพวกนอนไม่หลับตลอดชีวิตแบบภาม จะมีจริงเหรอ?
         คนที่นอนไม่หลับเลยแบบภามในโลกความจริงนี่มีนะคะ ก็คือคนไข้ที่เป็นโรคที่ชื่อว่า Fatal Familia Insomnia โชคดีของมนุษยชาติที่โรคนี้เป็นแค่โรคทางพันธุกรรมชนิดที่หาได้ยากมาก ๆ เพราะตั้งแต่มีการค้นพบโรคนี้เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เพียง 40 ครอบครัวทั่วโลก และมีผู้ป่วยเพียงแค่ 100 คนเท่านั้นที่เป็นโรคนี้ เรียกได้ว่าอัตราส่วนแบบ 1 ในล้านนั่นเองค่ะ และจะพบในผู้ป่วยที่มีอายุเฉลี่ย 40-50 ปี

         สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ของโปรตีนที่ชื่อว่า PrPC กลายเป็นโปรตีนที่ชื่อว่า"พรีออน" (Prion-PrPSC)  ซึ่งถูกค้นพบโดย Stanley Prusiner ในปี ค.ศ. 1982 โปรตีนที่กลายพันธุ์นี้จะเพิ่มปริมาณและทำลายสมองส่วนไฮโปทาลามัสที่ควบคุมเรื่องการนอนหลับ

         โดยอาการหลักของโรคนี้ คือ นอนไม่หลับ ซึ่งจะส่งผลให้ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น เหงื่อออกมากผิดปกติ เกิดภาวะสูญเสียการประสานงานของกล้ามเนื้อและควบคุมการเคลื่อนไหว โดยอาการของโรคจะแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้

 ระยะที่ 1 

         นอนไม่หลับแบบไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยมีอาการตกใจกลัวและเสียขวัญ รวมทั้งมีอาการหวาดกลัววิตกต่าง ๆ
         ระยะนี้กินเวลาประมาณ 4 เดือน

 ระยะที่ 2 

         อาการหวาดวิตกและหวาดกลัวรุนแรงขึ้น เริ่มเห็นภาพหลอนจากการนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่อง
         ระยะนี้กินเวลาประมาณ 5 เดือน

 ระยะที่ 3 

         น้ำหนักตัวผู้ป่วยเริ่มลดลง ผู้ป่วยเริ่มสูญเสียการควบคุมตัวเอง เช่น เสียการทรงตัวจนเดินไม่ได้ สูญเสียความสามารถในการประสานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ อันเป็นผลจากการนอนไม่หลับอย่างสมบูรณ์
         ระยะนี้กินเวลาประมาณ 3 เดือน

 ระยะที่ 4 

         ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานจากกลุ่มอาการสมองเสื่อม ซึ่งเป็นผลกระทบจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลง อาการที่มักพบ เช่น สูญเสียความสามารถในการจำ การใช้ความคิด และการเรียนรู้สิ่งใหม่ ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านบุคลิกภาพ เช่น ขี้หงุดหงิด เฉื่อยชา หรือเมินเฉย

         การเสื่อมของสมองนี้จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน อาการหลง ๆ ลืม ๆ จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ และอาจจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ทั้งเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น รวมไปถึงเรื่องราวในอดีตที่นานกว่านั้นด้วย หนักไปกว่านั้น อาจจะจำไม่ได้ว่า อาบน้ำอย่างไร ใส่เสื้ออย่างไร  หรือไม่สามารถสื่อสารได้เป็นประโยค และผู้ป่วยจะไม่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นใด ๆ
ระยะนี้กินเวลา 6 เดือน

         หลังจากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการโคม่า และเสียชีวิตในที่สุด

         โดยเนื้อสมองของผู้ป่วยจะถูกทำลาย รูปร่างผิดรูปทั้งสมอง ทั้ง ๆ ที่โรคอื่นไม่ทำให้สมองผิดรูปร่างขนาดนี้ แต่เพราะพรีออนที่เพิ่มจำนวนมากเกินไปและแพร่กระจายไปทั่วทั้งสมอง ทำให้เซลล์สมองโป่ง เต็มไปด้วยของเหลว โปรตีนพรีออนจับตัวกันเป็นร่างแหเป็นก้อนที่ทำลายเนื้อสมอง ผู้ป่วยก็จะมีอาการหลังเซลล์สมองถูกทำลายต่างๆ กันไป

         ส่วนการรักษานั้น ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาสำหรับโรคนี้ ซ้ำร้ายที่ยานอนหลับกลับเร่งอาการของโรคนี้ให้เร็วกว่าเดิม
แล้วถ้าอาถรรพ์แบบภามมีจริง ภามในโลกความจริงต้องทนกับอะไรบ้าง?

         ภามในโลกความจริงนอกโลกนิยายของพูนิก้า อาจจะดีกว่าตรงที่ไม่มีโปรตีนอะไรนั่นมาคอยทำลายสมองเหมือนคนที่เป็นโรคนี้ แต่อาการนอนไม่หลับก็ทำให้สมองเสื่อมหนักได้มากเหมือนกัน เปอร์บอกเลยว่ามันไม่เหมือนในนิยายที่ภามทำอะไรได้เหมือนคนฉลาดไขคดีได้หรอก มันทรมานมากกว่านั้นเยอะค่ะ






         คนที่อดนอนมากที่สุดในโลก คือ “แรนดี้ การ์ดเนอร์” หนุ่มน้อยวัย 17 ชาวอเมริกา เขาได้สร้างสถิตินี้ในปี 1964 เป็นสถิติโลกของการไม่หลับไม่นอนเลยเป็นเวลา 11 วันติด

         โดยแรนดี้มีลักษณะอาการในแต่ละวัน ดังนี้

 วันที่ 2-3 

         ร่างกายอ่อนล้า สายตาไม่โฟกัส อ่านหนังสือไม่ได้ พูดจาติด ๆ ขัด ๆ โดยเฉพาะวลียาก ๆ
         อารมณ์แปรปรวนขี้หงุดหงิด สมรรถภาพความคิดถดถอย เพ่งสมาธิไม่ได้
         ความจำสับสน

 วันที่ 4-6 

         ประสาทหลอน เห็นป้ายจราจรเป็นตัวคนบ้าง หลงคิดว่าตัวเองเป็นนักฟุตบอลผิวสีบ้าง
         เกิดอาการหวาดระแวง พารานอยด์ คิดว่ามีคนจะทำร้ายตลอดเวลา

 ใกล้ ๆ วันสุดท้าย (วันที่ 11) 

         แทบจะหมดสิ้นความเป็นคน พูดไม่รู้เรื่องอย่างถึงที่สุด นั่งบื้อเหมือนผีตายซาก ไม่รับรู้ ไม่ตอบสนองใด ๆ

         ลองคิดสภาพภามเป็นแรนดี้ การ์ดเนอร์สิ สภาพคงดูแย่มากทีเดียว





การนอนหลับแบบเต็มอิ่มที่ภามไม่เคยได้สัมผัสนั้นเป็นอย่างไร?

         แม้ภามจะได้นอนหลับบ้างเวลาตาย แต่นั่นก็คือการนอนหลับไม่เพียงพอ

         บางทีเปอร์ก็ไม่สงสัยเท่าไหร่ ว่าทำไมภามถึงคงสภาพอยู่ในอายุ 16 ตลอดกาลแบบนี้ ความลับของการนอนหลับก็คือ เราควรจะได้นอนหลับให้ครบไซเคิล (Cycle Time : เวลาครบรอบของการทำบางสิ่ง) ถึงจะเรียกได้ว่านอนหลับเต็มอิ่ม ยิ่งเด็กที่จัดว่าอยู่ในวัยกำลังสูงนั้น ยิ่งควรนอนให้เต็มอิ่ม

         ภามได้คำสาปนี้ติดตัวมาตอนอายุ 16 ทำให้เขาไม่ตายก็จริง แต่ก็ทำให้นอนไม่หลับไปด้วย เปอร์จำไม่ได้ว่าการนอนหลับของหนุ่มน้อยคนนี้นานสุดคือติดต่อกันกี่ชั่วโมง แต่รู้ว่ายิ่งเขาตายแบบเดิมซ้ำ ๆ ก็ยิ่งทำให้เวลาในการได้นอนของเขาน้อยลงเรื่อย ๆ  ในภาค 2 ปริศนาชายผมแดง อยู่ที่การยิงตัวตาย 1 ครั้ง ทำให้เขานอนได้แค่ 1 นาที นั่นแปลว่า ถ้าเขาจะนอนหลับด้วยการยิงตัวตายให้ครบชั่วโมง เขาต้องหลับแล้วตื่น ตื่นแล้วหลับ ยิงตัวตายซ้ำ ๆ ถึง 60 ครั้งเลยทีเดียว

         และยิ่งภามอยู่นาน เปอร์บอกเลยค่ะว่าเขาจะยิ่งไม่ได้สัมผัสการนอนแบบครบไซเคิลแน่นอน







พูดถึงไซเคิลการนอนแล้ว เรามาทำความรู้จักกับมันซักหน่อยดีกว่า


         การนอนหลับของคนเรานั้นถูกแบ่งออกเป็นช่วงๆ หรือ stage วนไปวนมาเป็นไซเคิล เริ่มจากช่วงแรกก็คือช่วงหลับตื้น จะอยู่ที่ stage 1-2 เริ่มตั้งแต่หัวถึงหมอน ถ้ามีใครมาแตะเนื้อต้องตัวเราจะรู้สึกตัวและตื่นในช่วงนี้

         โชคร้ายของภามและคนที่เป็นโรค Fatal Familia Insomnia เพราะการนอนหลับของพวกเขาไม่สามารถผ่าน stage นี้ไปได้

         การได้นอนครบ 1 ชั่วโมงของภามที่เป็นการหลับแล้วตื่น 60 ครั้งจนครบ 1 ชั่วโมงแบบนี้  ไม่ถือว่าเขาสามารถผ่าน stage 2 ไปได้นะคะ เพราะพอตื่น มันจะกลับไป stage 1 ใหม่ และนั่นทำให้เขาจัดว่าเป็นพวกอดนอนค่ะ

         ยกเว้นว่าภามจะไปรับจ้างตายที่มีผลทำให้สุดท้ายแล้ว เขาสามารถนอนหลับต่อเนื่องได้อย่างน้อย 30-40 นาที นั่นคือจะทำให้เขานอนจนครบ stage 2 ได้ค่ะ

         แต่การหลับแบบเต็มอิ่มมีทั้งหมด 4 stage นะ ดูเหมือนภามต้องตายแบบแปลก ๆ กว่าจะได้นอนหลับจริง ๆ ซึ่งยากเหลือเกินค่ะ สงสารเขานะ




         Stage 3-4 ที่นาน ๆ ทีภามจะมาถึงตรงนี้ได้ เรียกว่าช่วงหลับลึก ช่วงนี้จะตื่นยากมาก ต่อให้มีคนมาเขย่าตัว มาทำอะไรแปลก ๆ กับเรา ก็ยากที่จะตื่นค่ะ พอผ่านช่วงนี้สักพักประมาณ 30 นาที เราจะเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่าหลับฝัน แล้วก็วนกลับไปที่ stage 1 ไซเคิลใหม่แบบนี้ไปเรื่อยๆ 

         สรุปง่าย ๆ ก็คือ เราจะมีช่วง หลับตื้น หลับลึก หลับฝัน วนไปวนมาเป็นไซเคิลแบบนี้ ไซเคิลละ 90 นาทีตลอดทั้งคืน

         ถ้าเรานอน 8-9 ชั่วโมง เท่ากับว่าเราสามารถสำเร็จไซเคิลถึง 5-6 รอบทีเดียว

         เมื่อไหร่ที่ภามเล่าว่าเขา 'ฝัน'  เราควรแสดงความยินดีกับเขา เพราะว่าเขาอาจจบไซเคิลได้ตั้ง 1 รอบแน่ะ การสำเร็จไซเคิลได้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างที่บอกว่าชั่วโมงนอนสะสมไม่สำคัญเท่าชั่วโมงนอนที่ยาวนานติดต่อกัน เพราะต่อให้ภามมีชั่วโมงนอนสะสม 1 ชั่วโมง แต่เขายังไม่สามารถผ่าน stage 1 ได้เลยด้วยซ้ำ

         ช่วงที่เราหลับ ร่างกายจะหลั่ง growth hormone ออกมา ถ้านอนไม่พอร่างกายจะไม่โต บางทีนี่อาจจะเป็นผลต่อเนื่องของคำสาปที่มีผลข้างเคียงให้ภามนอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับภามก็นอนไม่พอ ทำให้ร่างกายของเขาไม่หลั่ง growth hormone และร่างกายก็หยุดเติบโต สตาฟไว้ที่อายุ 16 ยังไงก็อย่างงั้น




         แถมอีกเรื่องนะคะเมื่อเรานอนไม่พอ ร่างกายจะยิ่งหลั่งฮอร์โมนเกรลินออกมา ซึ่งเป็นต้นเหตุของความหิว ทำให้เราหิวบ่อยขึ้น พอหิวก็ต้องกิน แล้วเราก็จะอ้วน หนำซ้ำเซลล์ยังเผาผลาญพลังงานน้อยลง มีแนวโน้มที่ร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันเพิ่มขึ้นอีก อ้วนแน่ ๆ งานนี้

         ภาพลักษณ์ของภาม จริง ๆ อาจต้องออกมาอ้วนฉุ หยุดโต และเกิดอาการเกี่ยวกับระบบสมองอย่างที่ว่ามา ในโลกของความจริง การอดหลับอดนอนนั้นทรมานมาก ๆ ดังนั้นถ้าเรายังปกติดีก็ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนะคะ จะได้ไม่ทรมานแบบภาม...









✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎











ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน





 Sticker Line "ภาม แกะน้อยขี้เซา" ดาวน์โหลดได้ที่ http://bit.ly/2iNKNTc 



วันพุธที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

What is... หุ่นพยนต์?! หุ่นรบเอนกประสงค์แห่งโลกอาถรรพ์







 ✎ บทความ โดย   PöriuzL. 



สวัสดีค่ะ  ทุกคนรู้จักหุ่นพยนต์กันบ้างหรือเปล่าคะ?  หุ่นพยนต์คือของอาถรรพ์อย่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนเรื่อง “การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ คดีที่ 13 : หลอนคฤหาสน์หุ่นพยนต์”







วันนี้เปอร์จึงอยากจะชวนทุกๆ คนมาทำความรู้จักกับหุ่นพยนต์กันสักหน่อยว่าหุ่นพยนต์นั้นคืออะไร? บางคนอาจจะสงสัยว่า เอ... จะเหมือนกับตุ๊กตาลูกเทพ กุมารทอง หรือว่าลักยมหรือเปล่าน้า?

เอาล่ะค่ะ ถ้าทุกคนอยากรู้แล้วเรามาร่วมค้นหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า








 หุ่นพยนต์ปลุกเสกรูปแบบต่างๆ 

หุ่นพยนต์เป็นหุ่นที่คนสมัยโบราณสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ปกป้องคุ้มครองหรือสู้รบ แต่ในปัจจุบันหุ่นพยนต์ถูกนำมาใช้ประโยชน์หลายรอบด้าน อาทิ ช่วยเรื่องโชคลาภ เงินทอง เป็นต้น

จริงๆ แล้วหุ่นพยนต์ไม่ได้มีลักษณะตายตัว อาจจะเป็นแค่ใบไม้ หรือเป็นแค่ดินก้อนหนึ่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปตุ๊กตา เพราะหุ่นพยนต์ใช้เพียงจิต ขั้นตอน และบริกรรมคาถาในการสร้าง สร้างจากวัสดุอะไรก็ได้ที่เกิดจากธรรมชาติ และสามารถใช้ได้ในยามคับขัน

ถ้าเพื่อนๆ ลองกลับไปอ่านวรรณคดีไทยของเราอย่างขุนช้างขุนแผนก็จะมีการพูดถึงหุ่นพยนต์อยู่หลายช่วง ถ้าให้ยกตัวอย่างมาสักตอนจะมีตอนหนึ่งที่จมื่นไวยจมื่นศรีรบกับขุนแผน แล้วขุนแผนพานางวันทองหนี ขุนแผนก็หยิบหญ้าคาแถวนั้นเท่าที่คว้าได้ มาผูกทำหุ่นพยนต์สร้างเป็นกองทัพเข้าต่อสู้ จึงเอาตัวรอดมาได้






นี่ละค่ะ ประโยชน์ของหุ่นพยนต์ในแบบที่คนโบราณเขาใช้กัน ไม่ยึดติดว่าจะต้องปั้นให้เป็นรูปคนหรือรูปสัตว์  แต่การปั้นให้เป็นรูปอะไรนั้นก็แล้วแต่การใช้งาน  อย่างเช่น ถ้าเราต้องการให้ออกมาเป็นหมี ก็ทำเป็นรูปหมี หุ่นพยนต์ก็จะมีรูปลักษณ์เป็นหมีกันเลยทีเดียวค่ะ

หุ่นพยนต์เกิดขึ้นมาจากธาตุทั้งสี่ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ทำให้ตัวของหุ่นพยนต์มีเพียงแค่จิต แต่ไม่มีวิญญาณ  หุ่นพยนต์จึงไม่มีชาติหน้า บุญกุศลอะไรต่างๆ ก็จะหมดไปในชาตินี้ค่ะ ต่างจากกุมารทอง หรือลักยม ที่มีดวงวิญญาณ เวลาจะปลดปล่อย ก็จะต้องปล่อยวิญญาณ แต่ถ้าจะปล่อยหุ่นพยนต์ ต้องปล่อยให้สลายไปกับธาตุทั้งสี่ เช่น จับไปถ่วงน้ำ เผาไฟ ฝังดิน หรือปล่อยให้สลายไปกับสายลม  กลับสู่ธาตุทั้งสี่ที่มันกำเนิดขึ้นมา







หากอยากให้หุ่นพยนต์ออกมาเป็นสายเทพ ก็แค่ใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติง่ายๆ อย่างเช่น หญ้าคาแห้ง หวาย ฟาง แต่ถ้าอยากให้หุ่นพยนต์ออกมาเป็นสายพรายหรือสายผี วัสดุในการทำหุ่นพยนต์ก็จะเกี่ยวกับผี  ตัวอย่างเช่น ดินป่าช้า ตะปูตอกโลงผีตายโหง เป็นต้น

การบูชาหุ่นพยนต์สายเทพจะไม่ค่อยเคร่งเท่าสายผี ถ้าวันไหนลืมบูชาก็ไม่เป็นอะไรมาก แต่ของสายผีนั้นจะเหมาะกับคนที่มีเวลาบูชาจริงจัง เพราะถ้าวันไหนลืม หุ่นก็จะย้อนมาเล่นงานเจ้าของ แถมให้คำสัญญาอะไรไว้ก็จะต้องทำตามให้ได้อีกด้วย

บางตำรากล่าวว่า มีหุ่นพยนต์อีกแบบที่เรียกว่าหุ่นพยนต์อาถรรพ์ หุ่นพยนต์อันนี้แหละที่ “การิน” เด็กหนุ่มผู้ชื่นชอบอาถรรพ์ใช้อยู่บ่อยๆ โดยใช้มันให้รับเคราะห์ร้ายแทนเจ้าของนั่นเอง แทนที่ตอนนั้นเจ้าของหุ่นจะต้องตาย หุ่นพยนต์ก็จะมาตายแทนเจ้าของค่ะ






 หุ่นพยนต์อาถรรพ์ของการิน 

ซึ่งในคดีนี้ก็พูดถึงหุ่นพยนต์ที่มีจิตอาฆาตบางอย่างที่ทำให้การิน ลัลทริมา และรุทร รวมไปถึงตัวละครอื่นๆ ได้เจอกับเรื่องราวสุดอาถรรพ์ชวนสยองเข้า บอกได้เลยว่างานเข้าพวกเขาแบบจังๆ เลยละค่ะกับคดีนี้







ถ้าอยากรู้ว่างานเข้าพวกเขาได้อย่างไร ติดตามกันได้ในการ์ตูน “การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ คดีที่ 13 : หลอนคฤหาสน์หุ่นพยนต์” ได้เลยค่ะ สำหรับวันนี้เปอร์ต้องขอลาไปแต่เพียงเท่านี้ บ๊ายบาย









ขอบคุณที่มาของแหล่งข้อมูล
- บทสัมภาษณ์คุณฟ้าใส ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ่นพยนต์
- รายการปากโป้ง
https://www.youtube.com/watch?v=JAEuMhq4T70
https://www.facebook.com/page0841426633/posts/877367338974567:0










✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎









ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

[รีวิวผีบอก] ศึกชิงจ้าวแห่งยางลบ ยี่ห้อไหนปัง มาดู!







 ✎ บทความ โดย   Punica's Admin Team 



               "ยางลบ" item ที่สุดแสนจะธรรมด๊าธรรมดา ใครเล่าจะมาสนใจ ยี่ห้อไหนก็คงเหมือน ๆ กันหมด แถมบางคนที่ใช้ยางลบอยู่ทุกวันนี่น่ะ ยืมของเพื่อนมาอีกต่างหาก (บางรายนี่ก็ยืมแล้วไม่คืนด้วยหรือเปล่านะ อิอิ) คงมีน้อยคนที่จะใส่ใจในเนื้อแท้ของยางลบแต่ละก้อน (แอดเวอร์ไปไหมนะ) หลายคนก็คงเลือกแค่เหตุผลว่า ราคาถูก สีสวย กลิ่นหอม ยี่ห้อดัง แต่ก็คงไม่ได้นึกถึงตอนใช้งานว่าลบได้สะอาดแค่ไหน เพราะยางลบมันก็คงลบไปเหมือนกันหมดนั่นแหละ!

               ดังนั้นในวันนี้! แอดก็เลยจะมา Review กันชัด ๆ ให้เห็นกันแบบทะลุปรุโปร่งไปเลยว่ายี่ห้อไหนคือ "ที่สุดแห่งยางลบ" และการทดสอบความสามารถในการลบของยางลบแต่ละก้อนนั้น แอดจะใช้วิธีลบแค่ 5 ครั้งเท่า ๆ กัน ทุกอันไม่มากหรือน้อยกว่านี้ และใช้ลบความเข้มของดินสอ 2B เหมือนกันทุกยี่ห้อค่ะ! (จริงจังแค่ไหน แค่ไหนเรียกจริงจัง)

               เอาล่ะ เรามาดูรีวิวสุดโหดนี้กันเลยดีกว่า!! 





 ★ Ultra Black Eraser ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Ultra Black Eraser ถ้าใช้เจ้าก้อนดำ ๆ นี่เป็นยางลบลบจุดด่างดำบนหน้าก็น่าสนใจดีไม่น้อยเลย แต่ไม่ต้องเอาไปลบจุดด่างดำบนหน้าจริง ๆ นะคะ! แอดแค่เปรียบเทียบให้พอนึกภาพออกแหละว่ามันลบดีจริง แถมเวลาลบเสร็จขี้ยางลบก็น้อยด้วยล่ะ นอกจากจะลบสะอาดแล้วยังรักษาความสะอาดต่อเนื่องอีกต่างหาก ส่วนน้ำหนักปริมาตรนี่ไม่ต้องพูดถึง เบาเหมือนสมองตอนสอบเสร็จ #ผิด ส่วนราคาก็อยู่ที่ 6 บาทเท่านั้น! ถูกและดีไปหามาใช้กันเถอะ





 ★ Stabilo Supreme ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Stabilo Supreme พลังการลบล้างยังไม่ค่อยมาเหนือใครเท่าไหร่ แต่ก็พอลบได้ ดังนั้นจึงเหมาะแก่การให้เพื่อนยืมใช้ พอมันยืมใช้แล้วไม่คืนจะได้ไม่เสียดายมาก (ใช่เหรอ?) ส่วนราคาก็เบา ๆ เช่นกัน อยู่ที่ราคา 6 บาท ขี้ยางลบก็น้อย ใช้แล้วไม่หงุดหงิดต้องค่อยปัดมันออก ถ้าใครชอบแบบราคาประหยัดคุณภาพพอใช้ แนะนำอันนี้เลยค่ะ





 ★ Kid Art Plastic Eraser ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Kid Art Plastic Eraser สำหรับยี่ห้อนี้ ลบดีพอใช้ได้ค่ะ คือจะลบสะอาดหมดจดก็ไม่เชิงแต่ก็ไม่ถึงกับใช้ลบแล้วไม่ออกเลย เอาเป็นว่าพอใช้งานได้ ข้อเสียคือขี้ยางลบเยอะอลังการเลยค่ะคุณ และน่าจะพอทำให้รู้สึกรำคาญกับขี้ยางลบกันพอหอมปากหอมคอ เรียกได้ว่าใช้แล้วมีอารมณ์...โมโห แต่ก็มีน้ำหนักก็เบา ราคาตามคุณภาพอยู่ที่ 3 บาท (ก็อาจจะเหมาะสำหรับเด็กตามชื่อนั่นแหละนะ)





 ★ Paper Mate Speed ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Paper Mate Speed ตัวนี้ถือว่าลบสะอาดระดับปานกลาง แต่ขี้ยางลบน้อยมาก น้ำหนักปริมาตรก็ไม่ได้มากเท่าไหร่ ส่วนราคาอยู่ที่ 9 บาท อันนี้โอเคราคากับคุณภาพมันสอดคล้องกันค่ะ แต่ถ้าอยากให้สะอาดเกลี้ยงกว่านี้ก็ลองออกแรง Speed ในการลบดูอีกทีนะคะ เพราะลบแค่ 5 ที รอยดินสอก็หายไปแบบว่าตามภาพเลย ถือว่าผ่าน!





 ★ Rotring Tikky 30 ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Rotring Tikky 30 พอลบได้แต่ไม่ค่อยดีมาก ถ้าต้องการความสะอาดเพียงเพราะเห็นราคาที่สูง คุณนั้นคิดผิด! เพราะนอกจากราคาจะสูงแล้ว ขี้ยางลบก็มีอยู่ในระดับปานกลาง แต่สำหรับคนที่ชอบยี่ห้อนี้ แอดก็ไม่ได้บอกให้เลิกใช้นะคะ เพราะของใช้แต่ละยี่ห้อก็ไม่ได้ดีหรือแย่เกินไปสำหรับทุกคน ส่วนราคาของก้อนนี้อยู่ที่ 16 บาทจ้ะ





 ★ Stabilo Exam Grade PVC Free ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Stabilo Exam Grade PVC Free ก้อนนี้ลบดี สะอาดระดับปานกลาง ข้อดีคือขี้ยางลบไม่มีเลยยยย อันนี้ดี แอดชอบ เพราะไม่ต้องมาคอยปัดออกให้รำคาญใจ เป็นยางลบที่มีความสะอาดพอสมควร ราคาอยู่ที่ 13 บาท สำหรับคนที่เขียนผิดกันบ่อย ลบเยอะแต่ขี้เกียจปัดขี้ยางลบออก Stabilo Exam Grade PVC Free เป็นยางลบที่ตอบโจทย์ได้เลยค่ะ!





 ★ Monami Dust Free Eraser ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Monami Dust Free Eraser ตัวลบดีพอใช้ค่ะ ส่วนราคาราคาอยู่ในระดับที่ดีต่อใจ นั่นก็คือ 7 บาท และขี้ยางลบก็มีแต่น้อยมาก ไม่สร้างความรำคาญสักเท่าไหร่ น้ำหนักปริมาตรถือว่าไม่หนัก ถือถนัดมือ ดูรวม ๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ถ้าไม่คิดอะไรมากยี่ห้อนี้ก็น่าลองซื้อมาใช้กันนะ





 ★ Paper Mate Speed Dusk Free ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Paper Mate Speed Dusk Free ลบได้ แต่ถือว่าไม่ค่อยเท่าไหร่ ออกแรงลบ 5 ทีแต่ก็ยังเหมือนลบไม่ออกตามที่หวัง ดูไม่ค่อยสะอาด แถมยังเลอะเทอะอีกต่างหาก ขี้ยางลบมีปานกลาง ราคา 5 บาท แต่ถือว่าราคากับคุณภาพก็พอไปกันได้ค่ะ





 ★ Sakura Form Eraser ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Sakura Form Eraser ยางลบคุณภาพชนิดโฟม ใช้วัสดุพิเศษเนื้อแน่นทำให้ลบง่าย กระดาษไม่เป็นขุย สะอาดโดยไม่ต้องออกแรงมาก น้ำหนักก็ไม่มีความหนักมาก ขี้ยางลบน้อย ราคาอยู่ที่ 13 บาท อันนี้ใช้ดีใกล้เคียงกับยี่ห้อแรกพอสมควรเลยค่ะ





 ★ Aojie Eraser ★ 


(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

               Aojie Eraser ลบพอได้ค่ะ แต่ถือว่าไม่ค่อยดีเท่าที่ควร แถมขี้ยางลบเยอะมากกก น้ำหนักนี่สามารถใช้ปาหัวหมาได้เวลาโมโหอะไรมา ฮาาา เอาเป็นว่า แอดรู้สึกมันยังลบไม่ค่อยสะอาดสักเท่าไหร่ ส่วนราคาก็อยู่ที่ 11 บาทค่ะ





 เรามาดูตารางเปรียบเทียบกันให้ชัด ๆ อีกทีดีกว่าค่ะ! 

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)

(คลิกที่ภาพเพื่อขยาย)



               เป็นยังไงกันบ้างคะ กับยางลบทุกยี่ห้อที่แอดได้ทำการ Review มาให้ดูกัน ก็คงจะพอรู้แล้วว่ายี่ห้อไหนเป็นอย่างไรบ้างกันบ้าง และคุณภาพการใช้เป็นแบบไหน ดี ปานกลาง พอใช้ หรือไม่ดี

               แต่ทั้งนี้ของทุกอย่างก็มีวิธีการใช้ของมันค่ะ บางทีก้อนที่ลบดินสอ 2B ที่แอดรีวิวไม่สะอาด มันอาจจะเหมาะกับการลบดินสอแบบอื่นก็ได้นะ สุดท้ายแล้วเวลาซื้อของก็เลือกในแบบที่มันเหมาะกับเราดีกว่าค่ะ ใช้ดีด้วย พอใจกับมันด้วย ในเมื่อเราเลือกมันมาแล้ว มันก็ดีที่สุดสำหรับเรานั่นแหละค่ะ ><

               และครั้งหน้าแอดจะมารีวิวหรือมีอะไรมาให้อ่านอีก ก็อย่าลืมติดตามกันนะคะ อย่าลืมแชร์บทความดี ๆ ให้เพื่อนได้อ่านกันด้วยน้า บางทีเพื่อนของเราอาจจะกำลังมองหาการรีวิวแบบนี้อยู่ก็ได้ อิอิ










✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎




  
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน