วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บนให้ติด พิชิตมหา’ลัยในฝัน







 ✎ บทความ โดย   เขี้ยวแดง 



 ไหนขอเสียงสายดาร์คชาวมัธยมปลายหน่อยเร็ว ฮิ้ว~ 


               เพื่อนๆ มัธยมหลายคนคงจะมีมหาวิทยาลัยในฝันที่เล็งเอาไว้ในใจเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ บางคนก็คงจะเริ่มอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบแล้วด้วย แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจก็ไม่เป็นไรค่ะ อ่านเก็บข้อมูลไว้ก่อนเผื่อต้องการที่พึ่งทางใจในวันใกล้สอบจะได้รู้ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยมีตำนานการบนบานอย่างไรให้สอบติดเพื่อพิชิตมหา’ลัยในฝัน!

               ติดตามไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ หรือจะแชร์ให้เพื่อนๆ มาอ่านไปด้วยกันเลยก็ได้น้า






   จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   


               ใครอยากเข้ามหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทยแห่งนี้ อย่าลืมเตรียมดอกกุหลาบสีชมพูให้พร้อม เคลียร์คิวตอนสี่ทุ่มไว้ให้ดี  ไหว้ครั้งแรกอย่าลืมจุดธูปให้ครบ 16 ดอกและจำให้แม่นเลยว่าวันอังคารนั้นเหมาะสมที่สุดที่จะไหว้ขอพรกับพระบรมรูปรัชกาลที่ 5  ซึ่งแล้วแต่ความสะดวกเลยค่ะว่าจะไหว้ที่พระบรมรูปทรงม้าหรือจะไหว้ที่จุฬาฯ

               แต่ดอกจันตัวใหญ่ๆ ไว้เลยนะคะว่า ห้ามบนเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นจะไม่สมหวังดังปรารถนา ให้ขอพรเท่านั้นค่ะเพราะถือว่าท่านเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินจะมาติดสินบนกันไม่ได้






   มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   


               หากใครเคยไปเยี่ยมเยียนยังวิทยาเขตท่าพระจันทร์คงจะเคยพบเห็นรูปปั้นสิงโตที่หันหน้าเข้าหาแม่น้ำเจ้าพระยาหรือก็คือ เจ้าแม่สิงห์ ประทับอยู่ภายในศาลสิงห์โตทองบริเวณโรงอาหารริมน้ำหน้าคณะเศรษฐศาสตร์ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่สิงห์ก็สามารถดูได้จากลูกแก้วมากมายที่ผู้คนนำมาแก้บนเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าขานถึงอิทธิฤทธิ์ของเจ้าแม่อีกว่า คืนก่อนสอบถ้าหากขอพรกับเจ้าแม่สิงห์แล้วปักธูปลงไปบนหนังสือเรียนหน้าไหนก็ตาม วันต่อมาหน้านั้นจะออกข้อสอบ! ฟังดูน่าเหลือเชื่อมากเลยนะคะแต่จะเป็นความจริงหรือไม่ก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วล่ะค่ะ

               ส่วนที่ศูนย์รังสิตนั้นไม่ได้มีตำนานเกี่ยวกับการสอบเข้าเป็นพิเศษเหมือนที่ท่าพระจันทร์แต่ถ้าหากใครอยากได้พลังใจก็สามารถไปเคารพรูปปั้นของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์เพื่อขอพรได้เหมือนกันค่ะ แต่จะสมหวังไหมก็ต้องมาลุ้นอีกทีนะคะเพราะอาจารย์ป๋วยท่านต่อต้านการบนบานศาลกล่าว (อ้าว...เป็นงั้นไป)






 ❤  มหาวิทยาลัยมหิดล  


               เหล้าขาว บุหรี่... เปล่าค่ะๆ ไม่ได้กำลังจดรายการสิ่งที่เพื่อนๆ ไม่ควรยุ่งเกี่ยวแต่อย่างใดค่ะ แต่นี่คือของชอบของเจ้าพ่อขุนทุ่งที่เพื่อนๆ ควรจะนำติดไม้ติดมือไปด้วยเมื่อไปบนบานเพื่อให้สอบติดมหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับคนที่อายุยังไม่ถึง ยังซื้อของสองสิ่งนี้อย่างถูกกฎหมายไม่ได้ก็อย่าเพิ่งถอดใจไปค่ะ เพราะว่าเจ้าพ่อขุนทุ่งแห่งศาลายาท่านใจดี

               เล่าลือกันว่าท่านเป็นชายร่างใหญ่ใส่โสร่งสีม่วง ท่านมักจะเข้ามาช่วยเหลือบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยจากอีกมิติหนึ่ง และท่านยังมีของชอบอีกสามอย่างคือ ควายธนู หมากพลู และของไหว้ที่นิยมกันมากในหมู่คนที่บูชาเจ้าพ่อขุนทุ่งนั้นก็คือ ว่าว นั่นเองค่ะ

               อ้อ! เกือบลืม... จุดธูปดอกเดียวก็พอไม่ต้องจุดเทียนนะคะ (เจ้าพ่ออาจจะบอกเป็นนัยว่าอย่าปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศมากเลย แหม...เจ้าพ่อก็รักษ์โลกนะคะเนี่ย)






 ❤  มหาวิทยาลัยขอนแก่น  


               ศาลเจ้าพ่อมอดินแดงเป็นที่เคารพของบุคลากรในมหาวิทยาลัยและบุคคลทั่วไปเนื่องจากชื่อเสียงอันเลื่องลือของท่านว่าสามารถขอพรได้ทุกเรื่องตั้งแต่ขอให้สอบติดไปจนถึงขอให้มีงานทำเลยค่ะ (เรียกได้ว่าช่วยจนถึงฝั่ง) นอกจากนี้เซียมซีภายในศาลของเจ้าพ่อยังแม่นอย่างกับจับวาง!

               บ้างก็ว่าเจ้าพ่อไม่ชอบให้ติดสินบนแต่ด้วยความศรัทธาของผู้คนและความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน คนที่มาขอพรจึงมักจะพกสินน้ำใจมาให้เจ้าพ่อด้วย เช่น รูปปั้นช้างหรือสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้าง และถ้าหากเพื่อนๆ ไปขอพรกับเจ้าพ่อในเวลาค่ำๆ อาจจะโชคดีได้พบเจ้าพ่อในร่างของผู้ชายสวมพวงมาลัยเต็มคอ ซึ่งเคยมีคนถ่ายรูปศาลเจ้าพ่อตอนดึกๆ และถ่ายติดภาพของเจ้าพ่อมาแล้วค่ะ






 ❤  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ❤ 


               ถ้ามีความใฝ่ฝันว่าอยากรับน้องขึ้นดอยต้องรีบอ่านให้ดีๆ จะได้เตรียมตัวไปกราบไหว้ศาลช้างแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ทัน ใครอยากเป็นลูกช้างก็อย่าลืมนำช้างไปกราบไหว้ฝากตัวกับศาลพระภูมิประจำมหาวิทยาลัยแห่งนี้

               และถ้าใครอยากสัมผัสถึงการมีอยู่ของเจ้าพ่อก็ต้องลองไปไหว้ท่านตอนกลางคืนแล้วตั้งใจฟังให้ดี ถ้าได้ยินเสียงกระถางธูปสั่นทั้งที่ไม่มีใครเข้าไปยุ่ง ก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าเจ้าพ่อแห่งศาลช้างได้มาให้พรเพื่อนๆ อย่างใกล้ชิดแล้ว





               จบไปแล้วนะคะสำหรับพิธีบนบานสิ่งศักดิ์เพื่อพิชิตมหาวิทยาลัยในฝัน อ่านแล้วเพื่อนๆ อาจจะรู้สึกว่าวิธีการช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน แถมยังมีข้อกำหนดมากมายอย่างกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย เขี้ยวแดงก็คิดเหมือนกันนะคะว่าเอาเข้าจริงๆ ถ้าหากทุกคนที่อ่านบทความนี้ไปบนบานกันหมดก็ไม่รู้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเลือกให้ใครสอบติดไปเหมือนกัน

               และถ้ามันจะยุ่งยากขนาดนี้ สู้เอาเวลาไปวางแผนอ่านหนังสือตั้งแต่วันนี้ดีกว่าค่ะ จะได้สอบติดแบบชัวร์ๆ ส่วนวันนี้เขี้ยวแดงก็ขอลาไปก่อนนะคะ ขอให้โชคดีค่ะทุกคน









✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎







   
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



เปิดดู [ของ]สะสมเป็น [คน]สะสมตาย ในพิพิธภัณฑ์ต้องสาป







 ✎ บทความ โดย   เขี้ยวแดง 


               ใครชอบสะสมของเก่าหรือของมือสองบ้าง ยกมือขึ้น! ว่าแต่ตรวจสอบดีแล้วใช่ไหมคะว่า ‘เจ้าของเก่า' ไม่ตามมาทวงของคืนแล้วอย่างแน่นอน ฮึๆๆๆ (ข้างหลังไม่มีใครยืนอยู่แน่นะ? )

               คิดจะสะสมของเก่าก็ต้องรับความเสี่ยงด้านวิญญาณและประสบการณ์ลึกลับอยู่แล้วนะคะ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วๆ ไปก็คงรีบส่งของคืน ‘เจ้าของเก่า’ หรือไม่ก็หอบหิ้วของสะสมไปพึ่งวัดให้ทำพิธีปลดปล่อยหรือช่วยสื่อสารกับเจ้าของที่หวงแหนของรักเพื่อเจรจากัน ส่วนคนที่มีความรักในการสะสมของเก่าจริงๆ ก็ต้องปรับตัวให้รองรับกับความเสี่ยงนี้ให้ได้ ทั้งหาที่เก็บของโดยเฉพาะ (บางคนถึงกับปลูกบ้านมาเก็บของที่เสี่ยงว่าเจ้าของเก่าจะออกมาเยี่ยมตอนดึกๆ เลยนะคะ) หรืออาจจะดีลกับคุณเจ้าของเก่าที่ตามมาว่าอยู่ร่วมกันนี่แหละแต่อย่าออกมาให้เห็นก็พอ

               แต่เพื่อนๆ เชื่อไหมคะว่าในขณะที่หลายคนสะสมสิ่งของโดยต้องปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนจากมิติที่ 4 ซึ่งเป็นของแถมอันไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแต่กลับมีคนที่ตั้งใจสะสมสิ่งของที่สามารถสื่อกับวิญญาณหรือสิ่งลี้ลับในมิติที่ 4 ต่างๆ ได้ด้วยความตั้งใจเต็มร้อยเลยค่ะ

ลอเรนและเอ็ด วอร์เรน

               คู่สามีภรรยาซึ่งชอบสะสมของเก่าที่มีวิญญาณสถิตหรือเคยมีวิญญาณอาศัยอยู่นั้นก็คือ เอ็ด วอร์เรนและลอเรน วอร์เรน นั่นเองค่ะ หลายๆ คนคงจะคุ้นชื่อของสองสามีภรรยาคู่นี้ดีเลยนะคะเพราะทั้งคู่คือนักปราบผีชื่อดังผู้เป็นแรงบันดาลใจของหนังผีเขย่าขวัญอย่าง The conjuring ทั้งสองภาครวมถึง Annabelle ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหนึ่งในของสะสมของเอ็ดและลอเรนซึ่งเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ของทั้งคู่



                Warrens Occult  Museum ตั้งอยู่ที่เมืองมอนโร มลรัฐคอนเนตทิคัต ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกือบจะเก็บรวบรวมสิ่งของต้องคำสาปที่มาจากทั่วทั้งอเมริกาเลยก็ว่าได้ค่ะ ซึ่งสิ่งของทุกชิ้นก็มีที่มาที่ไปอันน่าสะพรึงกลัวและลี้ลับสมกับที่ถูกรวบรวมมาโดยเอ็ด และลอเรน วอร์เรน ผู้เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณและปีศาจวิทยาจริงๆ ค่ะ

               วันนี้เราก็จะมาแนะนำของสะสมลี้ลับที่ถูกเก็บไว้ในในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ค่ะ มาดูกันว่าที่มาและอิทธิฤทธิ์ของแต่ละชิ้นนั้นจะทรงอานุภาพและทำให้อกสั่นขวัญผวาแค่ไหน



 ✪  Shadow Doll  ✪ 


               ตุ๊กตาที่ทำมาจากกระดูกของมนุษย์และชิ้นส่วนของสัตว์ทั้งเล็บ ฟัน ขนอีกาดำ มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยจิตวิญญาณปีศาจ เพียงแค่คุณมองดูรูปของตุ๊กตาก็จะต้องคำสาปจากปีศาจ ทุกๆ คืนจะเป็นฝันร้ายของคุณ!

               ตุ๊กตาตัวนี้แสดงฤทธิ์เดชครั้งแรกกับนักสะสมเนี่ยแหละค่ะ เพียงแค่คืนแรกที่ซื้อตุ๊กตาไปคู่สามีภรรยานักสะสมก็ปรากฏรอยขวนไปทั่วทั้งตัวแถมยังฝันร้ายจนนอนไม่ได้ คืนต่อมานอกจากจะมีรอยข่วนเล็กๆ แล้วยังมีรอยเล็บกรีดลึกลงไปในเนื้อด้วย แล้วจะทำยังไงได้ละคะถ้าของสะสมจะร้ายขนาดนี้ เพียงแค่สองคืนก็ทำเอาเสียเลือดเสียเนื้อ ขืนยังเก็บต่อไปมีหวังได้เสียวิญญาณกันแน่ๆ

               คู่รักนักสะสมจึงรีบติดต่อคู่รักนักปราบผีให้มาจัดการเจ้า Shadow doll ตัวนี้ทันที ซึ่งเอ็ดก็ปรามทันทีว่าวัตถุต้องคำสาปซาตานแบบนี้ห้ามทำลายเด็ดขาดเลยนะ เดี๋ยวของจะเข้าตัว สุดท้ายเลยทำพิธีกักวิญญาณแล้วเอามาเก็บในพิพิธภัณฑ์ซะเลย
Shadow Doll ฉบับมุมิ เพื่อลดความน่ากลัว


 ✪  African fertility doll  ✪ 


               เป็นหัวหุ่นเหมือนคนชราหน้าเหี่ยวเครารุงรังซึ่งชายชาวอังกฤษขโมยมันมาจากหมอผีในแอฟริกาแล้วนำไปฝากไว้กับญาติที่เป็นตำรวจเพื่อหาโอกาสเหมาะๆ สำหรับขายให้พิพิธภัณฑ์ แต่โชคร้ายหัวขโมยดันตายอย่างลึกลับ

               ส่วนตำรวจหลังจากได้หัวหุ่นไปเพียงแค่สองสัปดาห์เขาก็กลายเป็นอัมพาต สองปีต่อมาถึงได้ติดต่อไปยังเอ็ดและลอเรนแต่มันก็สายไปเสียแล้ว... ขอเตือนเลยนะคะว่าอย่าขโมยของจากหมอผีเชียวค่ะเพราะเจ้าของเขาหวง!



 ✪  ตุ๊กตาวูดู  ✪ 


               ตุ๊กตาไม้แกะสลักอายุกว่าร้อยปีเป็นของสะสมของหญิงร่ำรวยผู้หนึ่งเธอซื้อมันมาจากรัฐฟลอริดา เธอเก็บมันเอาไว้ในกรงที่ร้านอาหารของเธอแต่เมื่อกลับมาที่บ้านเธอดันเห็นมันโผล่ไปมาแทบทุกที่ในบ้าน! เท่านั้นยังไม่พอนะคะผู้หญิงนักสะสมตุ๊กตาคนนี้ยังพบกับโชคร้ายมากมายจนต้องมอบตุ๊กตาให้นักปราบผีดูแลแทน



Annabelle ในภาพยนตร์

 ✪  Annabelle  ✪ 


               ตุ๊กตาผีสิงตัวนี้มีหน้าตาที่น่ารักมากทีเดียวค่ะ ใครจะคิดละคะว่าตุ๊กตาแสนหวานของตัวเองจะอยากฆ่าคุณ!

               แอนนาเบลล์เริ่มจากเคลื่อนย้ายตัวเองไปมาตามห้องต่างๆ ในบ้าน ยืนและแสดงท่าทางเหมือนมนุษย์ จากนั้นเธอจึงเริ่มสื่อสารกับเจ้าของผ่านการเขียนหนังสือ และสุดท้ายจึงเริ่มทำร้ายคนในบ้านอย่างหนักขึ้นเรื่อยๆ เอ็ดและลอเรนต้องร่วมมือกับโบสถ์ถึงจะปราบเธอลงได้และในพิพิธภัณฑ์ยังเขียนป้ายว่าห้ามจับด้วยค่ะ ซึ่งมีนักศึกษาแพทย์ลองดีจนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างทางกลับบ้าน!

ตุ๊กตา Annabelle ของจริง



               วัตถุผีสิงในพิพิธภัณฑ์ของทั้งคู่ยังมีมากกว่านี้แต่น่าเสียดายที่ Warrens Occult  Museum ยังปิดปรับปรุงอยู่ในช่วงนี้แต่อย่าเพิ่งร้อง ว้า! ด้วยความเสียดายไปค่ะ เพราะลอเรน วอร์เรนยังจัดกิจกรรมที่ชื่อว่า An Evening With Annabelle ในต้นเดือนมิถุนายนปีนี้ด้วย ใครที่สนใจอยากกระทบไหล่นักปราบผีหรืออยากให้ช่วยตรวจสอบของสะสมก็ลองดูได้นะคะ

               ส่วนใครที่อยากเห็นภาพพิธภัณฑ์ ค้นหาใน Google ว่า Warrens Occult  Museum ได้เลยค่ะ เพียบ! ดังขนาดไหนถามใจดู แต่ขอเตือนไว้ก่อนนะว่าภาพมันจะดูหลอนและสยองมาก ๆ คนขวัญอ่อนชอบมโนควรมีเพื่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ อิอิ

               ก่อนจากกันก็ขอฝากไว้ว่า อย่าลืมตรวจสอบของสะสมของเพื่อนๆ ให้ดีก่อนที่จะสายไปนะคะ... ฮึๆๆ










✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎







   
ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

นวนิยายนักสืบที่โด่งดัง จนคนคิดว่าเป็นเรื่องจริง!





     นวนิยายสืบสวนสอบสวนนี่อาจเรียกได้ว่าผู้แต่งจะต้องขุดจิตวิญญาณของตัวเองขึ้นมาเขียนเลยทีเดียว เพราะต้องใช้ความทุ่มเทในการหาข้อมูลและคิดวิเคราะห์กับเนื้อเรื่องจนปวดหัว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดูน่าเหลือเชื่อทั้งที่ยังคงสมเหตุสมผลและอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ (แค่อาจคิดไม่ถึงนิดหน่อยเอ๊ง)

     จนหลายครั้งที่นักอ่านนั้นอินจนคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิยายคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง! แหม แอดไม่ได้โม้นะ เพราะมีคนประเภทนี้อยู่ไม่น้อยเลยล่ะ (หนึ่งในนั้นคือแอดที่บางทีก็เผลออินเกินไป อิอิ) แอดเลยขอยกวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนชื่อดังที่ดังจนคนคิดว่าเป็นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง! ว่าแต่จะมีเรื่องอะไรกันบ้าง ไปดูกันเลย!




 เชอร์ล็อก โฮล์ม  


     เชอร์ล็อก โฮล์ม คือนิยายนักสืบที่โด่งดังมาก ชนิดที่ว่าคงไม่มีใครที่จะไม่รู้จักนิยายเรื่องนี้ ถูกเขียนขึ้นโดย "เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์" แต่เนื้อหาด้านในเกือบทุกตอนจะถูกบรรยายโดยมุมมองของคู่หูคนสนิทของโฮล์ม นั่นก็คือ "ดร.จอห์น เอช วัตสัน" หรือคุณหมอวัตสันที่แฟนๆ นิยายคุ้นเคยกันนั่นเอง โดยเนื้อหาในนิยายเริ่มในช่วงปี ค.ศ.1878 และสิ้นสุดคดีสุดท้ายในปี ค.ศ.1914

     ถ้าถามว่าเรื่องนี้โด่งดังจนคนคิดว่าเป็นเรื่องจริงขนาดไหน ก็ดังไม่มากหร๊อกกกก แค่เคยมีคนเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือถึงโฮล์มไปที่บ้านเลขที่ 221 บี ถนนเบเกอร์ ซึ่งเป็นที่อยู่ปลอมๆ ที่ถูกใช้ในนิยาย แล้วจดหมายทั้งหมดก็ถูกตีกลับเพราะที่อยู่นั่นไม่มีอยู่จริงแค่นั้นเอ๊งงง และก็ได้มีการก่อตั้งสมาคมเชอร์ล็อก โฮล์มขึ้นในกรุงลอนดอน มีการก่อตั้งหน่วยลาดตะเวนถนนเบเกอร์ขึ้นในนิวยอร์ก และมีสมาคมเกี่ยวกับโฮล์มอยู่อีกทั่วโลก

     ยัง! ยังไม่หมด เพราะด้านหน้าสถานีเบเกอร์ยังมีการจัดตั้งอนุเสาวรีย์เชอร์ล็อก โฮล์ม และสถานฑูตอังกฤษในประเทศรัสเซียก็มีการตั้งอนุเสาวรีย์ของทั้งโฮล์มและวัตสันไว้ในสถานฑูตอีกด้วย (นี่ชักจะไปกันใหญ่) และในปี ค.ศ.2002 สมาคมเคมีแห่งราชสำนักอังกฤษก็ได้มอบตำแหน่งสมาชิกกิตติมศักดิ์ให้กับโฮล์ม ในฐานะ "นักสืบคนแรกที่นำเอาวิชาเคมีไปประยุกต์ใช้กับการสืบสวน" ครั้งที่ครบรอบ 100 ปีของนิยายตอนหมาผลาญตระกูล และครบรอบ 100 ปีของการรับบรรดาศักดิ์อัศวินของเซอร์ อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ แถมโฮล์มยังเป็นตัวละครในนิยายตัวแรกที่มีพิพิธภัณฑ์เป็นของตัวเองอีกด้วย!

     นี่ขอย้ำนะว่าเป็นตัวละครในนิยายที่ถูกแต่งขึ้น อ่านไปแอดเองก็ชอบคิดว่าเป็นคนจริงอยู่เรื่อย ก็ดูชื่อเสียงของโฮล์มสิ อะไรจะยิ่งใหญ่ปานนั้นนน




  คินดะอิจิ โคสุเกะ  


     คินดะอิจิถือว่าเป็นนักสืบเชื้อสายญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เขียนขึ้นโดย "โยโคมิโซ เซชิ" ตอนปี พ.ศ.2479 จุดเด่นของนิยายเรื่องนี้คือการผูกปมในคดีฆาตกรรมต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน หลอกล่อนักอ่านให้จับเรื่องราวไม่ถูก บางตอนยังแฝงความเชื่อ ขนบธรรเนียมต่างๆ ของญี่ปุ่นเอาไว้อีกด้วย โดยคินดะอิจิก็มักจะใช้ไหวพริบผสมโชคและลางสังหรณ์ในการไขคดี

     คินดะอิจิ โคสุเกะ เป็นนักสืบที่มีฝีมือการสืบสวนขัดกับบุคลิกอารมณ์ขันแถมยังชอบพูดติดอ่าง ทรงผมยุ่งอย่างกะรังนก และสวมชุดฮาตามะที่เป็นชุดญี่ปุ่นโบราณ ต่างจากนักสืบคนอื่นๆ ที่เราคุ้นตาอย่างสิ้นเชิง แต่ก็เพราะแบบนี้แหละถึงทำให้นักอ่านหลายคนตกหลุมรักเขา และยังถูกพูดถึงในหมู่นักอ่านที่ชอบรสชาติการสืบสวนที่แปลกใหม่จนถึงทุกวันนี้

     และถ้าให้พูดถึงนามสกุล "คินดะอิจิ" เด็กรุ่นหลังๆ อาจจะคุ้นกับชื่อการ์ตูน "คินกะอิจิกับฆาตกรรมปริศนา" มากกว่า แต่ก็เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ได้อ้างถึงนิยายคินดะอิจิฉบับออริจินอล โดยใช้ตัวเอกอย่าง คินดะอิจิ ฮาจิเมะ ให้เป็นหลานของคินดะอิจิ โคสุเกะนั่นเอง และนอกจากนี้ก็ยังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และละครซีรีส์อีกด้วย

     แหม นักสืบสายเลือดเอเชียของเราก็ไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ย ทุกวันนี้ชื่อของคินดะอิจิก็ติดหูไปแล้วด้วยสิ และขอย้ำอีกครั้งว่านี่คือเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่ใช้สแตนอิน ใช้แต่ตัวแสดงแทนในหนังในละครเท่านั้นเอง




  แอร์กูล ปัวโร  


     อีกหนึ่งนักสืบชื่อดังของโลกใบนี้ แอร์กูล ปัวโร (Hercule Poirot) ยอดนักสืบชาวเบลเยี่ยม เป็นผลงานการเขียนของราชินีแห่งนิยายอาชญากรรม "อกาฮา คริสตี" ที่โด่งดังในฐานะนักเขียนนิยายแนวสืบสวนสอบสวน โดยตอนนี้ผลงานทั้งหมดของคริสตี้ก็ถูกแปลเป็นภาษาไทยทั้งหมดแล้ว

     แอร์กูล ปัวโร (ชื่ออ่านแบบเบลเยี่ยม) จะมีลักษณะและบุคลิกแตกต่างจากภาพนักสืบสุดเท่ในหัวของเรานิดหน่อย (อีกแล้ว) เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างจะมีอายุ ตัวอ้วน และมีหนวดแข็ง (เพราะทาน้ำมันเอาไว้ให้มันสวยๆ) แต่เห็นแบบนี้ก็เท่ไม่หยอกเลยนะ เพราะเขามีสิ่งที่เรียกว่าเซลล์สมองสีเทาในการไขคดี จนได้รับคำชื่นชมจากตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด และผู้ช่วยในการสืบคดีของเขาก็คือ ผู้กองเฮสติงค์และเจนมาเบล

     แอร์กูล ปัวโร ปรากฏตัวในนิยายของอกาธา คริสตี มากกว่า 30 เรื่องและเรื่องสั้นอีก 50 กว่าเรื่อง รวมถึงถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกนับไม่ถ้วน เรียกว่าเป็นตัวละครเจ้าประจำที่แจ้งเกิดให้กับคริสตีได้เลย แถมคริสตียังเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศสูงสุดของสมาคมนักเขียนเรื่องลึกลับแห่งอเมริกาอีกด้วย!

     เห็นภายนอกเป็นคุณลุงท่าทางใจดีแบบนี้ แต่ปัวโรก็เป็นนักสืบที่เก่งสุดๆ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองต่างๆ ที่น่าเหลือเชื่อ แต่แอดก็ยังคงจะย้ำอีกรอบว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นเช่นเดียวกัน อิอิ




  ทองอิน รัตนะเนตร์  


     มาถึงในประเทศไทยกันบ้าง บ้านเราก็มีนวนิยายนักสืบที่โด่งดังเหมือนกันนะเออ จะเรียกได้ว่าเป็นนักสืบคนแรกของไทยเลยก็ว่าได้ เขาคนนี้ชื่อ ทองอิน รัตนะเนตร์ จากพระราชนิพนธ์ของ "พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว" หรือว่ารัชกาลที่ 6 เรื่อง พฤติการณ์ของนายทองอิน รัตนะเนตร์ (เรียกง่ายๆ ว่านิทานทองอินก็ได้นะ)

     นายทองอินนั้นมีต้นแบบมาจากเชอร์ล็อก โฮล์มที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่ทั้งเนื้อเรื่องและตัวทองอินเองจะผสมผสานขนบธรรมเนียมแบบไทยเอาไว้ โดยเขาจะสวมเสื้อราชปะแตนและนุ่งโจงกระเบน สูบกล้องยาสูบ ซึ่งรัชกาลที่ 6 ทรงนำเรื่องราวต่างๆ มาประยุกต์และดัดแปลงให้เข้ากับเรื่องแบบไทยๆ ได้อย่างลงตัว ทั้งองค์ประกอบ ฉาก เรื่องราวที่อิงตำนานของไทย จนได้มาเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนชิ้นนี้

     รัชกาลที่ 6 ทรงใช้นามปากกาในการแต่งเรื่องนี้ว่า "รามจิตติ" ซึ่งนิทานทองอินประกอบไปด้วยเรื่องสั้น 15 เรื่อง พร้อมภาพประกอบที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการอ่าน แต่ไม่อาจสืบทราบได้ว่าใครเป็นคนเขียนภาพประกอบชุดนี้ขึ้นมา... ลึกลับเหมาะสมจะเป็นนิยายสืบสวนสอบสวนเลยมั้ยล่ะ

     และด้วยความสนุกของนิยายเรื่องนี้บวกกับขนบธรรมเนียมของไทยที่เราคุ้นเคยกันดีแทรกอยู่ในเรื่อง ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนที่เคยได้ยินเรื่องราวของนายทองอิน คิดว่าเป็นตำนานที่เคยเกิดขึ้นจริงของไทยไปซะนี่ จริงๆ ก็เป็นเรื่องแต่งขึ้นนั่นแหละน้า 





     เป็นไงบ้าง มีใครเคยอ่านเรื่องไหนแล้วอินจนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงบ้างมั้ยเอ่ย สารภาพมาซะดี ๆ 55555 จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่เราจะอินกันเบอร์นั้น ก็นักเขียนเขาเก่งจริงๆ นี่นา กว่าจะสั่งสมประสบการณ์ให้เขียนและคนอ่านได้อินกันขนาดนี้ แอดนี่ขอปรบมือให้รัวๆ เลยค่ะ!

     ใครยังไม่เคยอ่านเรื่องไหนก็ลองไปหาอ่านกันได้น้า จะได้รู้ว่าสนุกจนสมจริงขนาดไหน 5555 การอ่านหนังสือนี่ดีจริงๆ แอดฟันเฟิร์ม ได้จินตนาการ ได้รู้มุมมองหลากหลาย ได้คิดตาม ได้อินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ (นี่ก็ชอบคิดว่าตัวเองเป็นตัวเอกอยู่เรื่อย)

     ก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ ว่ามั้ย?

     






✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎





ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

อัพ Skill ตามวันเกิด แค่เลือกถูกสีก็ Level UP !!







     ชีวิตก็เหมือนกับการเล่นเกม ที่ตัวละครในเกมอย่างพวกเราต่างต้องมีสกิลเพื่อใช้ในการต่อสู้หรือทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีชีวิตรอดอยู่ในเกม และมันก็มักจะมีไอเท็มเมพ ๆ บางตัวที่พอมีแล้วนี่ช่วยให้เรากลายเป็นเทพไปเลย

     แต่ชีวิตจริงไม่ได้มีเวลาไปหาของแบบนั้นมาอัพสกิลตัวเองใช่มั้ยล่ะ (ไอเท็มที่ว่านั่นจะมีอยู่จริงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย) แต่วันนี้แอดก็มีวิธีง่าย ๆ มาช่วยอัพสกิล ชนิดที่ว่าหันซ้ายหันขวาก็คว้ามาได้เลย 55555

     เพราะมันเป็นแค่การเลือก “สี” ให้ถูก ชีวิตก็เปลี่ยนได้แล้ว เชื่อมั้ยล่ะ?!


Credit : Pixabay - Alexas_Fotos


     เพราะจริง ๆ แล้วสีต่าง ๆ นี่มีอิทธิพลกับชีวิตเรามากเลยนะ หลายคนคงเคยได้ยินเรื่อง สีกับกาลเทศะหรือสีกับอารมณ์ อะไรพวกนี้ใช่มั้ย แต่วันนี้แอดจะพูดถึง “สีกับสกิลที่จำเป็นในชีวิตจริง!” (พูดได้เวอร์มาก)

     มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แต่แอดคิดว่าใครหลายคนคงอยากจะเพิ่มสกิลให้ตัวเอง อิอิ เลยสรรหาวิธีง่าย ๆ มาให้ เพราะแค่เลือกสีของใช้ให้ถูกกับวันเกิด ชีวิตก็เปลี่ยนได้!



โดยแต่ละสกิลที่แอดเลือกมาก็จำเป็นทั้งนั้นนนนน //ลากเสียงยาว
     1. สกิลเข้าหาหมา-แมวให้มันมาเล่นด้วย สำหรับคนที่ริอาจเป็นทาสหมาและทาสแมวแต่สกิลต่ำ
     2. สกิลหุ่นสวยฟิต & เฟิร์ม ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัย! ไม่ต้องฝืนกินคลีนอีกต่อไป
     3. สกิลอัพคะแนนและความขยัน ใครรู้ตัวว่าเกินเยียวยาแล้ว ต้องเล็งสกิลนี้
     4. สกิลเพื่อนช่วยทำงาน ความสามารถในการเจรจาจะเพิ่มขึ้น ปัญหาทำงานกลุ่มคนเดียวจะหมดไป
     5. สกิลร่ำรวย พร้อมเปย์ สำหรับสายเปย์ไม่น่าจะต้องพูดอะไรมาก
     6. สกิลให้คนอื่นมาเปย์ บางคนอาจอยากได้สกิลนี้แทน เพราะขี้เกียจพกตังค์
     7. สกิลเพิ่มโชค อยากอยู่เฉย ๆ ก็มีส้มหล่นเป็นเงินเป็นทอง ซื้อหวยถูกแล้วถูกอีก
     8. สุดท้าย สกิลอับโชค ถ้าหากชีวิตคุณดีเกินไป เชิญอัพสกิลนี้ได้เลย


คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและการเลือกไอเท็มนี้อัพสกิล


* ใครเห็นภาพไม่ชัด คลิกที่ภาพเพื่อขยายได้เลยค่ะ *















     เป็นไงกันบ้าง เมาสีกันมั้ยเอ่ย? (ไม่ใช่ละ 55555)

     ก็สามารถเอาไปปรับใช้กับของใช้ของตัวเองกันได้น้า จะเลือกใช้สีพวกนี้กับของใช้ชนิดไหนก็ได้ ไม่มีศาสตร์บังคับ แต่ต้องดูกาลเทศะในการใช้ด้วยน้า

     บางคนอาจจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า เอ๊ะ! สีที่อัพสกิลที่เราอยากได้แต่มันไม่ใช่สีที่เราชอบนี่นา หรือว่าสีที่เราชอบดันทำให้เราซวยซะนี่ ก็ไม่ต้องซีเรียสไปนะคะ เอาเป็นว่ามันเป็นแค่แนวทางหนึ่งที่แอดอยากจะบอกกับทุกคนเท่านั้นเอง เลือกใช้กันได้ตามสะดวก เพราะจริง ๆ แล้วถ้าเรามีความพยายามและเต็มที่กับทุกสิ่ง จะสีไหนก็ผ่านฉลุยได้ทุกเรื่องนั่นเองแหละจ้า!








✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎ ✎





ไม่อยากพลาดบทความดี ๆ กดติดตาม Punica LINE official คลิก!   เพิ่มเพื่อน



วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

พาสาย BLACK แง้มดูความตายสุดวิปลาศ




ความตายไม่เคยนอนหลับ ไม่เคยหยุดพัก ไม่เคยเลือกหน้า
และที่สำคัญ... ไม่เคยเลือกวิธีการ!!!
ไม่ว่าเราจะเคยเห็นความตายมามากมายขนาดไหน แต่ยมฑูตก็จะสรรหาความตายแบบแปลกใหม่มาคร่าชีวิตคนเราได้เสมอ!

วันนี้แอดเลยลองยกตัวอย่างความตายแบบแปลก ๆ
ชนิดที่ว่าได้อ่านแล้วถ้าไม่ตกใจจนตาค้างก็ต้องร้อง ห๊ะ?! ด้วยความไม่เข้าใจได้บ้างแหละ
จัดไปเบาะ ๆ 5 แบบ แต่ถ้าเห็นแล้วอาจจะต้องจิตตก เพราะแต่ละวิธีมันเกิดขึ้นง่ายอะไรอย่างนี้



Credit : Pixabay - Efraimstochter

 1. ตายในบ้านผีสิง 


     บ้านผีสิงที่ว่านี้ไม่ใช่ที่บ้านร้างคนชอบไปล่าท้าผีกันหรอกนะ แต่มันคือบ้านผีสิงในสวนสนุกที่เรารู้กันดีว่ามันมีแต่ผีปลอมนี่แหละ แต่คงไม่มีใครเคยคิดใช่มั้ยล่ะ ว่าหนึ่งในผีปลอมพวกนั้นจะมีศพจริง ๆ อยู่!

     และมันก็เคยเกิดขึ้นแล้ว ในปี ค.ศ.1976 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อทีมทำภาพยนตร์โทรทัศน์ทีมหนึ่งได้ยกกองไปถ่ายทำในบ้านผีสองของสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่บ จนกระทั่งมีสต๊าฟร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เพราะแขนข้างหนึ่งของมัมมี่หน้าตาแปลก ๆ ในบ้านผีสิงนั้นเกิดหลุดร่วงลงพื้นและมีเศษเนื้อหนังหุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเต็มไปหมด และมันก็ทำให้ทุกคนรู้ว่ามันมี่ตัวนั้นเป็นของจริง!

     จากการชันสูตรพบว่าเป็นศพของชายที่เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1911 (ผ่านมาตั้งหลายปีแหนะ!) ที่ถูกซื้อมาอยู่ในบ้านผีสิงและเจ้าของก็ไม่รู้เลยว่าหุ่นตัวนี้มันคือศพจริง ๆ (หยึย!)



Credit : Pixabay - Nikolabelopitov

 2. ตายเพราะเกรียน 


     เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐเช่นเดียวกัน ซึ่งอเมริกาจะขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยของระบบนิรภัยต่าง ๆ แต่ก็มีบางคนที่อยากจะลองของว่า ไอ้ที่บอกว่าปลอดภัย มันปลอดภัยจริง ๆ อย่างที่โม้หรือเปล่า?!

     ในปี ค.ศ.1993 ก็มีทนายความหนุ่มคนหนึ่งที่เกิดความสงสัยในกระจกบนตึกที่เขาทำงานอยู่ เพราะพนักงานนิรภัยต่างบอกว่ามันเป็นกระจกที่แข็งแรงที่สุด ไม่มีทางแตกแน่นอน เพราะแบบนี้เลยทำให้เลือดนักทดลองในตัวทนายความหนุ่มพลุ่งพล่าน เขาตัดสินใจวิ่งชนกระจกที่ว่านั่นดู... แต่อนิจจา กระจกมันก็คงแข็งแรงอยู่หรอก แต่คงไม่ได้ทำมาเพื่อรองรับการพุ่งชน มันก็เลยแตกกระจาย ส่วนหนุ่มนักลองของก็ไม่ต้องพูดถึง เห็นอีกทีก็เป็นร่างไร้วิญญาณนอนเสียชีวิตตาที่อยู่ที่ด้านล่างตึกแล้วล่ะ



Credit : Pixabay - Matuska

 3. ตายเพราะแอร์ทับ 


     เคยมั้ย? ที่เวลาเราเห็นพัดลมตัวใหญ่ ๆ ติดเพดานหมุนแล้วมักจะคิดว่าสักวันมันต้องหล่นลงมาตัดคอเราตายแน่ ๆ และมันก็เกิดเหตุการณ์คล้ายกับแบบนั้นขึ้นแล้ว เพียงแต่เปลี่ยนจากพัดลมเป็นแอร์เท่านั้นเอง

     คงจะมีใครหลายคนที่เวลาเดินผ่านตึกที่มีคอมเพรสเซอร์แอร์ติดอยู่เหนือหัวแล้วต้องเสียวหัววาบ ๆ ว่าวันหนึ่งมันต้องตกลงมาใส่หัวเราแน่ แต่ก็คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง ช่างแอร์คงจะยึดมันไว้ดีแล้วล่ะ แต่เรื่องร้าย ๆ มันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อชายคนหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในย่ายบอร์ดเวย์ นครนิวยอร์ก อยู่ดี ๆ คอมเพรสเซอร์แอร์ตัวเขื่องที่ติดอยู่บนกำแพงก็ร่วงใส่หัวเขา ถึงแม้ว่าแพทย์จะพยายามช่วยชีวิตเขาแค่ไหนแต่ก็ไม่สามรถทนพิษบาดแผลได้ เสียชีวิตในที่สุด

     เฮ้อ ชีวิตคนเรานี่มันมีความเสี่ยงตลอดเวลาเลยสินะ...



Credit : Pixabay - Volfgrag

 4. ตายเพราะขี้เซา 


     ปกติเราทุกคนจะชอบกดเลื่อนนาฬิปลุกตอนเช้าเพราะว่าขี้เกียจตื่นกันใช่มั้ย บางคนก็ตั้งปลุกเผื่อไว้ 4-5 รอบโดยเฉพาะ (บางคนในนั้นคือแอดนี่แหละ) และชายที่ชื่อว่า ชาล์ส บาร์เกอร์ก็เช่นกัน แต่ว่าการเลื่อนนาฬิกาปลุกเพื่อจะได้นอนต่อของเขานั้น ทำให้เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกตลอดกาล!

     เหตุเกิดในเช้าที่ Mr.บาร์เกอร์ง่วงมาก ๆ ไม่อยากตื่นไปทำงานเลย (ก็ปกติของคนทั่วไป) และนาฬิกาปลุกที่วางไว้ใต้หมอนก็ส่งเสียงดังไม่หยุด เขาเลยล้วงมือเข้าไปข้างใต้เพื่อที่จะกดปิดมัน แต่ว่ากลับกดผิด! เพราะสิ่งที่เขากดไม่ใช่นาฬิกาปลุก แต่เป็นปืนขนาด .38 ที่ซ่อนไว้ใต้หมอนต่างหาก!

     แน่นอนว่านับตั้งแต่วันนั้น Mr.บาร์เกอร์ ไม่ต้องตื่นไปทำงานอีกต่อไป เพราะเขาเสียชีวิตคาที่บนเตียงนั่นเอง (เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ทั้งคนขี้เซาและคนที่ชอบเก็บอาวุธไว้ใต้หมอนเลยนะเนี่ย)



Credit : Pixabay - Skeeze

 5. ตายเพราะรักหมา 


     หมาขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์และรักเจ้าของมาก ๆ ถ้าหากว่าเราให้ความรักกับมันมากพอ มันก็จะไม่มีวันทำร้ายเรา แต่ก็ดันมีคนที่ตายเพราะรักหมามาก ๆ มาแล้วด้วยเหมือนกันนะ

     ในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานว่าชายคนหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ได้เลี้ยงหมาเอาไว้เป็นเพื่อนคู่ใจ และกิจวัตรที่เขาจะทำทุกวันก็คือการเปลี่ยนน้ำในชามให้เจ้าตูบ แต่เผอิ๊ญ! วันนั้นดันเกิดอุบัติเหตุ เขาสะดุดล้มหน้าคว้ำลงไปในชามน้ำของเจ้าตูบที่รักพอดิบพอดี และก็คงเพราะกระแทกแรงเกินไปจนทำให้สลบ เขาเลยไม่เงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเพราะจมน้ำในชามของเจ้าตูบนั่นแหละ

     ความรักไม่ผิด ผิดที่เวรกรรมแท้ ๆ เล้ย~





     เป็นไงกันบ้างเอ่ย? กับความตายสุดวิปลาสที่แอดได้ยกมาเป็นตัวอย่าง แปลกอย่างที่บอกจริง ๆ มั้ย
แต่ความตายบนโลกใบนี้ยังมีอีกหลากหลาย และเราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นกับใคร เมื่อไหร่ อาจจะเป็นคนใกล้ชิดเรา หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ได้

     ที่สำคัญอย่าไปโทษใคร ให้ใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทดีกว่า ไว้ใจดูแลตัวเองดีที่สุด!






วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

10 อันดับความตายสุดทรมาน!




                  มาคราวนี้แอดขอจัดหัวข้อ... ความตายสุดทรมาน! . . .ซึ่งอย่าถามแอดนะว่าเคยตายเหรอถึงรู้!?!
                  โอ้โห ก็มโนๆ เอาก็ได้มั้ย หลายๆ ความเจ็บปวดมันก็เคยมีวิเคราะห์กันเอาไว้ค่ะว่า ความตายแต่ละอย่างก่อนตายเราจะรู้สึกอย่างไร และส่งผลที่รุนแรงมากน้อยขนาดไหน เอาล่ะๆ เรียกว่าลองไปดูกันดีกว่าว่าแบบไหนทรมานสวดๆ ฮือออออ ขนาดแค่เล่ายังกลัวเลย โอ้ยยย จะเล่าจบมั้ยยย...





ทรมานอันดับ 10 ☆ โดนระเบิด

            ทุกคนคงรู้จักอานุภาพของระเบิดกันดีใช่มั้ยเจ้าคะ จากการเห็นในละครหรือภาพยนตร์ที่ระเบิดกันตูมตาม ถ้าเราอยู่ในที่ตรงนั้นต้องไม่รอดแน่เลยเชียว ก็ระเบิดมีแรงบีบอัดที่มหาศาลขนาดนั้น อย่างน้อยถ้าอยู่ในรัศมีก็ต้องมีบาดเจ็บบ้างล่ะ หรือโดนแรงอัดจากระเบิดพาให้ตัวปลิวออกไปไกลบ้างล่ะ
ยิ่งถ้าโดนเข้าไปเต็ม ๆ ล่ะก็ ไม่ต้องหวังว่าจะเลือกโรงพยาบาลอะไรเลย หวังให้คนหาเศษซากเราให้เจอจะดีกว่า แต่ก็เพราะตายไวแบบนี้ ความทรมานจึงไม่ค่อยมีผลอะไร เพราะฉะนั้นเอาอันดับ 10 ไปเจ้าค่ะ




ทรมานอันดับ 9 ☆ โดนยิง

                 คงไม่มีใครเถียงนะเจ้าคะว่า ปืนเป็นสุดยอดอาวุธที่มีความรุนแรงมากพอที่จะฆ่าคนได้ในนัดเดียว ถ้าโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญ หรือหลาย ๆ นัด รับรองได้เลยเจ้าคะว่าได้ไปสวรรค์แน่นอนล่ะ ซึ่งที่หัวเนี่ยก็ไม่ต้องรอลุ้นอะไรเลย แต่ถ้าเป็นที่อื่นถึงเป็นจุดสำคัญก็ยังพอมีเวลาให้สั่งเสียได้อยู่นะ เพราะว่าความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลนั้นจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอาการชา จากนั้นก็จะรู้สึกหนาวสั่นเพราะเสียเลือดมาก ทำให้สมองเริ่มขาดเลือดไปเลี้ยง สติของเราจะเลือนรางลงทีละน้อย จนในที่สุดลมหายใจของเราก็จะถูกพรากไปเพราะอาการสมองตายนั้นเองล่ะเจ้าค่า
                คือถ้าไม่จ่อใกล้ ๆ ก็ต้องมาลุ้นความแม่นของมือปืนอีกว่ามีฝีมือแค่ไหน ถ้าไร้ฝีมือก็ได้ตายช้าหน่อย ยังแอบมีเวลาให้เราได้สั่งเสียเบา ๆ ประกอบกับความรู้สึกเจ็บปวดก่อนตาย ก็ถือว่าทรมานเนอะ เพราะฉะนั้นเอาอันดับ 9 ไปเจ้าค่ะ





ทรมานอันดับ 8 ☆ ตกจากที่สูง

                การตายอีกอย่างหนึ่งที่เราได้เห็นกันบ่อย ๆ นั้นคือตกจากที่สูงนั่นเองเจ้าคะ ไม่ว่าจะเพราะถูกผลักลงมา ตั้งใจกระโดด หรือซุ่มซ่ามพลัดตกลงมาเอง ยังไงก็คงไม่พ้นต้องทิ้งร่างลงมากระแทกพื้นอยู่ดี แล้วยังต้องมาลุ้นกันอีกนะเจ้าคะว่าที่ที่ตกลงมานั้นมันสูงแค่ไหน จะจากดาดฟ้าตึก ระเบียงห้อง หรือหน้าผา ถ้าสูงมากยังไงก็ไม่รอดเจ้าคะ แรงกระแทกจะพรากชีวิตเราไปทันทีที่ร่างเราสัมผัสพื้น
                 แต่ก่อนหน้านั้นเราจะยังมีเวลาได้เสียวท้องน้อยวูบวาบ หวิว ๆ จากการเปลี่ยนความสูงอย่างรวดเร็ว และยังได้ชมวิวเล็กน้อยระหว่างที่รอว่าเมื่อไหร่จะถึงพื้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แค่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง แต่หากสูงไม่มาก การกระแทกพื้นจะส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงเลยล่ะเจ้าคะ กระดูกทั่วร่างกายจะหักเป็นท่อน ๆ กระดูกสันหลังจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง อาจทำให้เป็นอัมพาตไม่สามารถขยับร่างกายได้อีก อวัยวะภายในจะฉีกขาด เราจะหายใจลำบากเพราะปอดอาจจะถูกกระดูกซี่โครงที่หักทิ่มจนทะลุ ความเจ็บปวดจะแผ่พุ่งจนกล้ามเนื้อเกร็งกระตุก มีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่จะรอดกลับไปเป็นปกติ น่าเศร้านะเจ้าคะ =..=” เพราะส่วนมากจะตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวหลังจากนั้นได้ไม่นาน
                และยิ่งถ้ากลัวความสูงอยู่แล้วล่ะก็คงทรมานน่าดูเลยนะเจ้าคะ ไม่แน่อาจหัวใจวายตายตั้งแต่ก่อนถึงพื้นเสียอีก อีกอย่างวิธีนี้ศพก็ไม่สวยด้วยเจ้าค่ะ เพราะอย่างนั้นขอจัดให้วิธีนี้อยู่ที่อันดับ 8 ก็แล้วกันนะเจ้าคะ



ทรมานอันดับ 7 ☆ รถชน

                    การตายแบบนี้โฆษนาและละครมักหยิบมาใช้เป็นฉากเรียกน้ำตา เหมือนเป็นตัวแทนการการสูญเสียแบบไม่คาดฝันเลยเนอะ ทั้งที่กำลังจะจบแฮปปี้อยู่แล้วเชียว... เอี๊ยด! โครม! รถมาจากไหนนะ?! พระเอกลงไปนอนจมกองเลือดกระอักเลือดแคก ๆ บอกรักนางเอกในอ้อมกอดของเธอก่อนจะสิ้นใจอะไรแบบนี้ แต่นั่นก็ทำให้เรารู้ว่าถ้าเราใช้ชีวิตอย่างประมาทเราอาจตายได้ง่าย ๆ เลยเจ้าคะ
                    แต่จะไปเร็วไปช้าอันนี้ขึ้นกับความเร็วของรถ ถ้าวิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ตายไวหน่อย ถ้าโชคดีกระอักเลือดสักทีสองทีตายก็ไม่ทรมานเท่าไหร่นัก แต่คนที่ไม่ตายทันทีนี่สิเจ้าคะ กระดูกของเขาหักเพราะแรงปะทะ อวัยวะภายในจะฉีกขาด จะเจ็บร้าวไปทั้งร่าง คงใช้เวลาอยู่กับความเจ็บปวดนั้นนานพอดูเลยล่ะเจ้าคะ เขาคงจะรู้สึกทรมานเอามาก ๆ เลยกว่าที่จะตาย เพราะฉะนั้นเลยจัดให้อยู่ในอันดับที่ 7 เจ้าค่ะ




ทรมานอันดับ 6 ☆ ถูกของแหลมแทง

                  ถ้าจะให้พูดถึงการถูกแทงด้วยของแหลมล่ะก็ แค่คิดถึงเข็มของคุณหมอก็เสียวไส้แล้วใช่มั้ยเจ้าคะ คิดดูสิ แค่เข็มเล็ก ๆ ยังเจ็บขนาดนั้น ถ้าใหญ่กว่านั้นแทงเข้ามามันจะเจ็บขนาดไหน แต่ใครจะรู้ล่ะเจ้าคะว่าวันหนึ่งเราอาจจะตายด้วยไม้เสียบลูกชิ้นก็ได้นะ นี่แอดไม่ได้ตลกนะ! ของแหลมคมน่ะมันอันตรายมาก ๆ เรียกได้ว่าดับอนาถกันได้เลยทีเดียว ถ้าโดนแทงเข้าจุดสำคัญก็อาจตายทันที แต่หากโดนที่อื่นหรือแทงเข้า ๆ ออก ๆ หลาย ๆ ที ก็ยังได้สั่งเสียสักนิดสักหน่อย เพราะกว่าเราจะตายคงต้องรอสมองขาดเลือด นับได้หลายนาทีอยู่นะเจ้าคะ แต่ส่วนใหญ่ที่ตายกันด้วยวิธีนี้ก็คงหนีไม่พ้นเพราะเสียเลือดมากจากการที่เลือดตกใน น่ากลัวเจ้าค่ะ เพราะแผลที่ค่อนข้างเล็กเลือดออกให้เห็นไม่มาก และเจ็บไม่มากเท่าไหร่นักทำให้ชะล่าใจคิดว่าเป็นอะไรไม่มาก แต่เลือดนั้นอาจออกในช่องท้องหรือที่เรียกว่าเลือดตกใน รวมถึงอวัยวะภายในได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในที่สุด รับรองเลยเจ้าค่ะว่ามันทรมานใช้ได้เลยทีเดียวล่ะ อาการจะเน้นไปที่เสียเลือดมากจนอุณหภูมิร่างกายลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ สมองเบลอ เห็นภาพหลอน มันจะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนที่เราจะหลับไป (แบบชั่วนิรันดร์)
                   วิธีนี้ดูน่ากลัวแต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยทรมานเท่าไหร่ แต่การที่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผ่านร่างกายเราเข้ามา รวมทั้งความเจ็บที่ค่อย ๆ ได้รับจนถึงนาทีสุดท้ายของชีวิต มันก็คงทรมานไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ เพราะอย่างนั้นเลยขอจัดให้อยู่ที่อันดับ 6 ไปเลย!



ทรมานอันดับ 5 ☆ แขวนคอ

                   วิธีแขวนคอนี้เป็นหนึ่งวิธีฮิตที่จะได้พบเห็นได้บ่อย ๆ คงเพราะอุปกรณ์หาง่าย เพียงแค่เชือกแข็งแรงสักเส้น ผ้ายาว ๆ หรือแม้แต่เข็มขัด และสถานที่ที่มีลักษณะให้ผูกเชือกได้ พอให้ทิ้งน้ำหนักตัวได้ก็เพียงพอแล้วที่จะตายด้วยวิธีนี้ หลายคนคิดว่าการตายวิธีนี้เจ็บน้อยสุด แต่บอกไว้ก่อนเลยนะเจ้าคะว่าวิธีนี้ทรมานและน่ากลัวมาก ๆ เพราะถ้าทิ้งตัวจากที่สูงมากแรงกระชากจะทำให้กระดูกสันหลังข้อแรกหลุดออก แต่มันทำให้ไม่ทรมานเท่าไหร่เพราะร่างกายจะหยุดทำงานทันที แต่ถ้าไม่ได้ร่วงแบบกระชาก เชือกก็จะค่อย ๆ รัดคอจนแน่น เริ่มอึดอัดหายใจไม่ได้ ถึงตอนนั้นจะเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้ว จะเห็นได้ว่าคนที่ตายแบบนี้มักจะพยายามแกะเชือก จนเล็บฉีก คอเป็นรอยข่วน อาการเจ็บคอจากการบีบรัดจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเลือดไม่ไปเลี้ยงสมอง เส้นเลือดจะปูดโปน ดวงตาเปิดกว้างจนเหมือนจะหลุดออกมา ลิ้นจุกปาก และปวดหัวรุนแรงเหมือนมันจะระเบิด เพราะความดันภายในกะโหลกสูงขึ้น กลไกการตายก็จะเริ่มเมื่อขาดอากาศหายใจ และในสุดท้ายก็สิ้นใจอย่างน่ากลัว
                   แค่คิดก็รู้สึกทรมานแล้วใช่มั้ยเจ้าคะ น่ากลัวด้วย หยึย! เพราะฉะนั้นจึงจัดไว้ที่อันดับที่ 5 ด้วยความทรมานของมันนี่แล



ทรมานอันดับ 4 ☆ จมน้ำ

                      อันดับนี้ก็น่าอึดอัดอีกแล้วเจ้าคะ คงเป็นการตายที่น่ากลัวและเหงาที่สุดเลย เพราะเมื่อเราต้องจมน้ำ เราจะเกิดความกลัวถึงอย่างที่สุด จะเห็นได้ว่าคนที่กำลังจมน้ำจะพยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด จนบ่อยครั้งก็ทำให้เพื่อนที่พยายามจะเข้าไปช่วยต้องจมน้ำตามไปด้วย และขณะที่เราจมลงไปในน้ำนั้นก็จะเกิดการสำลัก โดยปกติคนที่เสียชีวิตเพราะการจมน้ำ ครั้งแรกจะสามารถกลั้นหายใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็จะรู้สึกอึดอัดมาก ๆ แต่ร่างก็ได้แต่ค่อย ๆ จมลง อาจจะยังรับรู้ทุกอย่างเบื้องหน้าได้ ก่อนที่จะหมดแรงแล้วปล่อยให้ตัวเองหายใจปกติตามสัญชาตญาณ และน้ำที่อยู่รอบตัวก็จะเข้าไปแทนที่อากาศ จนเต็มปอดเต็มกระเพาะไปหมด ดวงตาจะพร่าเลือน แสงสว่างด้านบนผิวน้ำที่เหมือนความหวังก็จะจากเราไป น้ำจะดึงเราลงสู่ก้นบึ่งแห่งความสิ้นหวังและหนาวเหน็บก่อนที่จะตายเพราะน้ำท่วมปอดในที่สุด
                     การตายแบบนี้ไม่เพียงทรมาน แต่ยังรู้สึกหวาดกลัว อ้างว้างและสิ้นหวัง แถมใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะถึงจุดที่ทำให้ตาย ถึงไม่ได้เจ็บปวดเหมือนวิธีอื่น ๆ แต่ก็คิดว่ามันน่าจะทรมานเอามาก ๆ เลยล่ะเจ้าค่ะ อันดับ 4 นี่คงเหมาะสมที่สุดแล้ว


ทรมานอันดับ 3 ☆ ยาพิษ

                   เข้าอันดับ Top 3 มาแล้วล่ะเจ้าค่ะ วิธีที่สุดแสนทรมานในอันดับนี้คือ ยาพิษ นั่นเอง! เราคงเคยเห็นอย่างน้อยก็ในการ์ตูนหรือละครที่ตัวละครโดนยาพิษจะต้องดิ้นทุรนทุราย น้ำลายฟูมปาก คือเจ้าพิษมันจะเข้าไปทำลายระบบภายในร่างกายของเรา ตับไตไส้พุงจะร้อนรุ่มเหมือนถูกไฟเผา ถ้าเป็นบาดแผลด้านนอกเรายังพอรักษาได้ในทันทีใช่มั้ยเจ้าคะ แต่บาดแผลที่เกิดจากการถูกกัดกร่อนด้วยพิษจากภายในพวกนี้น่ะสิ ยิ่งถ้ามีฤทธิ์เป็นกรด มันจะไม่ได้ถูกทำให้เป็นแผลแค่จุดเดียวด้วย
                  เพราะการที่จะดื่มเข้าไปได้มันต้องเป็นน้ำ และของเหลวนี่แหละมันไหลไปเร็วเหลือเกิน ทำลายผิวสัมผัสเป็นวงกว้างแบบควบคุมไม่ได้ เราจะรู้สึกทรมานตั้งแต่ภายในช่องปาก ค่อย ๆ ไหลไปตามหลอดอาหารและเข้าไปในกระเพาะ โอโห เรียกได้ว่าถูกทำลายแบบต่อเนื่องกันเลยทีเดียว บางทีอาจมีคนคิดว่าการที่อวัยวะถูกทำลายแบบต่อเนื่องอย่างนี้น่าจะใช้เวลาไม่นานก็น่าจะเสียชีวิตแล้วนะ มันทรมานจริงเหรอ? ... โอ้โห แค่อาหารเป็นพิษ ท้องเสียอาเจียน ยังรู้สึกเกือบตายเลย แล้วนี่เป็นพิษจริง ๆ มันคงทรมานกว่ากันเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยล่ะเจ้าค่ะ
                เอาล่ะ ด้วยเหตุนี้จึงจัดให้การตายด้วยยาพิษเข้ามาเป็นอันดับ 3 นั่นเองงงงง!




ทรมานอันดับ 2 ☆ ถูกตีด้วยของแข็ง

                     มาถึงอันดับที่ 2 วิธีนี้มันสุดแสนเจ็บปวดและทรมาน ถ้าต้องถูกตีจนตาย คิดสิคะว่ากี่ทีกันนะกว่าที่เราจะตาย ถ้าแข็งแรงหน่อยคงทรมานนานน่าดูเลย เพราะแต่ละทีที่ฟาดลงมาบนร่างกายความเจ็บมันจะโถมเข้ามา กล้ามเนื้อจะได้รับบาดเจ็บ ช้ำ บวม และถ้าไม้นั้นมีความแข็งมากพอ อวัยวะภายในก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย เช่น กระดูกหักหรือม้ามแตก ความเจ็บปวดจะกระจายไปทั่วทั้งภายในและภายนอกของร่างกายรวมกับความกลัวที่เกิดขึ้นจากการถูกกระหน่ำตี กว่าจะตายก็ไม่รู้ว่าต้องทนเจ็บอีกกี่สิบกี่ร้อยครั้งจากแรงที่ฟาดลงมาบนร่างกายของเรา ซึ่งกว่าความเจ็บปวดนั้นจะทำให้ลมหายใจขาดไป มันคงเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายอย่างที่สุดในชีวิตเลยล่ะเจ้าคะ
                     เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย ไม่รู้เลยว่าต้องโดนตีกี่ครั้ง ความเจ็บปวดมันโถมเข้ามาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจไม่อยากคิดเลยเจ้าคะว่าจะทรมานแค่ไหน ถ้าอย่างนั้นขอให้วิธีนี้เป็นอันดับที่ 2 ของวิธีตายที่แสนทรมานเลยเจ้าค่ะ



ทรมานอันดับ 1 ☆ เจ็บป่วย

                มาถึงอันดับ 1 !! แอดขอจัดให้สาเหตุนี้เป็นอันดับ 1 ไปเลย!! เพราะโรคภัยไข้เจ็บคงไม่มีใครอยากจะเป็นกันใช่มั้ยเจ้าคะ หนุ่มภามเองเขาก็เกลียดความเจ็บปวดแบบเรื้อรังเหมือนกัน ถ้าต้องตายด้วยวิธีนี้มันคงจะทรมานมาก ๆ เลยนะ เพราะทุกคนคงรู้กันอยู่นะเจ้าคะว่าแค่ไอนิดหน่อย มีไข้ ปวดหัว ก็ทรมานจะแย่แล้ว หรือโรคกระเพราะ กรดไหลย้อนอีกพอมันกำเริบก็พากันนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ทั้งท้องอืดที่จะทำให้เราอึดอัดแน่นท้องเหมือนตัวเราจะระเบิด ไหนจะไมเกรน ไซนัสที่ทำให้ปวดร้าวไปถึงก้านสมอง
                 ยิ่งถ้าเจ็บป่วยแบบหนัก ๆ เช่น ปวดท้องจากลำไส้อักเสบ มันจะปวดบิดเหมือนมีใครมาบีบไส้จนเราต้องลงไปนอนขดร้องโอดครวญ นอนไม่ได้กันเลยทีเดียว นี่แค่การที่ร่างกายทำงานผิดปกติแค่ชั่วคราวนะเจ้าคะ มันยังสุดแสนทรมานขนาดนี้ แล้วมันจะทรมานสักแค่ไหนกันนะถ้าเราต้องป่วยเรื้อรังกับโรคที่ไม่มีวันรักษาหาย หรือรุนแรงเกินกว่าที่จะร่างกายจะทนรับไหว คงจะทรมานเอามาก ๆ เลย ยิ่งบางโรคที่ทำได้แค่นอนรอความตาย แม้จะไม่เจ็บ ไม่ปวด อย่างเช่นอัมพาตที่ทำให้เราได้แต่นอนมองเพดานไปวัน ๆ ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงเมื่อไหร่ ขยับตัวก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ เหมือนร่างกายไม่ใช่ของเรา มันทรมานทั้งร่างกายและจิตใจยิ่งกว่าตายทั้งเป็นเสียอีกนะเจ้าคะ
                 วิธีนี้ไม่ไหวจริง ๆ แอดคนหนึ่งที่ไม่อยากเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ ถ้าต้องมาเจ็บตรงนั้น ปวดตรงนี้ สารพัดอาการ หน้าโทรม หมดสวย แหม! คิดแล้วกลัวเลย ถ้าจะทรมานขนาดนี้ก็เอาอันดับที่ 1 ไปเลยจ้า!